คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประกันส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาประกันตัวนางโสภาผู้ต้องหาเรื่องออกเช็คโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็คไปจากโจทก์ โดยสัญญาว่าจะส่งตัวนางโสภาผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำพูน ถ้าผิดสัญญาส่งไม่ได้ตามกำหนดนัด ยอมใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดนัดจำเลยส่งตัวนางโสภาผู้ต้องหาให้ไม่ได้ เป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยนำเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทมาชำระ จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดนัด วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ โจทก์นัดให้นางโสภาผู้ต้องหาไปพบเพื่อตกลงประนีประนอมยอมความกันในเรื่องเช็คตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๖๑๗/๒๕๑๕ ของศาลจังหวัดลำพูน จำเลยก็ส่งตัวให้แล้ว และตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เสียหายรับชำระหนี้บางส่วนไว้แล้ว สั่งให้จำเลยผ่อนชำระที่เหลือทุกเดือน ครั้นถึงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๕ นางโสภานำเงินจำนวนหนึ่งไปพบโจทก์เพื่อผ่อนชำระ โจทก์ว่าน้อยไป ให้หาเพิ่ม ต่อมาวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๕ นางโสภาก็นำเงินไปเพิ่มชำระอีก โจทก์ไม่ยอมรับ กลับจับกุมนางโสภาควบคุมตัวไว้ นางโสภาจึงฟ้องโจทก์กับพวกหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในที่สุดโจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้นางโสภา โจทก์คุมแค้นจำเลยเพราะเป็นสามีนางโสภา จึงฟ้องคดีนี้แก้แค้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ในวันนัดส่งตัวนางโสภา นางโสภาหรือจำเลยไม่ได้ไปยังสำนักงานของโจทก์ แต่เบี้ยปรับกำหนดไว้สูงเกินไป พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้บังคับใช้เบี้ยปรับเต็มตามสัญญา จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๕ นางโสภาภรรยาจำเลยถูกจับในข้อหาฐานออกเช็คโดยเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ในวันที่ ๑๑ เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นขอประกันตัวนางโสภาต่อผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำพูน ซึ่งอนุญาตให้ประกันตัว โจทก์ในฐานะพนักงานสอบสวนได้จัดให้จำเลยทำสัญญาประกันโดยแสดงหลักทรัพย์ โดยโจทก์เข้าเป็นคู่สัญญากับจำเลย จำเลยสัญญาว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด ณ สถานีตำรวจ ซึ่งระบุแจ้งวันนัดครั้งแรกไว้ที่ด้านหลัง คือวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา เพียงครั้งเดียว จำเลยลงชื่อทราบวันนัดแล้ว ตามสัญญาข้อ ๒ ระบุว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด ยอมใช้เงิน (ค่าปรับ) ๒๐,๐๐๐ บาท ครั้นถึงกำหนดนัดดังกล่าว จำเลยไม่ได้ส่งตัวนางโสภาผู้ต้องหาต่อโจทก์ โจทก์ถือว่าผิดสัญญาประกัน ต่อมาวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๕ นางโสภาไปที่บ้านพักสัสดีอำเภอเมืองลำพูน โจทก์จึงจับนางโสภาไว้ดำเนินคดีเรื่องเช็คดังกล่าว รุ่งขึ้นก็ให้ประกันตัวไปอีกเป็นเหตุให้นางโสภาฟ้องโจทก์ในคดีอาญาหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทำให้นางโสภาปราศจากเสรีภาพ โจทก์ยอมเสียเงินให้นางโสภาไป ๑๐,๐๐๐ บาท นางโสภายอมถอนฟ้อง ศาลอนุญาตแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๑๕ และต่อมาวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๑๕ พนักงานอัยการจึงฟ้องนางโสภาเรื่องเช็ค ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก ๒ เดือน คดีถึงที่สุด ในวันสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ โจทก์จึงได้ฟ้องคดีนี้
ปัญหาว่า จำเลยประพฤติผิดสัญญาประกันต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กำหนดนัดส่งตัวผู้ต้องหาตามสัญญาประกันนั้น มิใช่กรณีที่จะต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดตายตัวเสมอไป จนถึงกับพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจผ่อนผันสั้นยาวแก่นายประกันไม่ได้ หากปรากฏแน่ชัดว่าผู้ต้องหาหลบหนีประกันไปหรือหลีกเลี่ยงหลบซ่อนตัวเสียจนนายประกันส่งตัวไม่ได้ จึงจะสมควรถือได้ว่านายประกันจงใจผิดสัญญาประกัน เพราะมิได้ระมัดระวังให้ผู้ต้องหาปฏิบัติตามนัดประกอบทั้งการนัดส่งตัวผู้ต้องหาจะต้องมีเหตุผลแสดงว่านัดมาทำไม ไม่ใช่นัดไว้ลอย ๆ โดยปราศจากเหตุผล นางโสภาผู้ต้องหาถูกโจทก์สอบสวนคำรับสารภาพไว้แล้วในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันถูกจับครั้งแรก ไม่ปรากฏว่าวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๕ อันเป็นวันนัดส่งตัว โจทก์จะดำเนินการส่งฟ้องนางโสภาต่อพนักงานอัยการอย่างไรไม่ ตรงข้ามกลับได้ความว่าในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ก่อนวันนัดหนึ่งวัน นางโสภาก็ได้มาพบโจทก์ที่สถานีตำรวจ โดยนำเงินสดจำนวน ๖,๐๐๐ บาทและเช็คอีกฉบับหนึ่งสั่งจ่ายเงิน ๑,๔๐๐ บาทมามอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ตามเช็คที่ออกให้นายวิจิตร ภู่เจริญ ความผิดของนางโสภาเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ผู้เป็นพนักงานสอบสวนได้ออกใบรับเงินและเช็คให้นางโสภาไว้เป็นหลักฐานแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าโจทก์มิได้ถือเอาวันนัดส่งตัวตามสัญญาประกันในวันรุ่งขึ้นเป็นสำคัญ แต่ประการใด เพราะอยู่ระหว่างการผ่อนผันเพื่อให้ประนีประนอมยอมความใช้เงินตามเช็คอยู่ เท่ากับยังไม่มีวันนัดส่งตัวแน่นอนนั่นเอง โจทก์จะถือว่าจำเลยผิดสัญญาประกันหาได้ไม่ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากจำเลย
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share