คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์รอพยานอยู่จนเวลา 10.30 น. พยานโจทก์ก็ยังไม่มาศาล ทนายโจทก์แถลงว่านัดกับ ร. พยานโจทก์แล้วว่าจะมา แต่ไม่มา ไม่ทราบจะทำประการใด ขอให้ศาลสั่งต่อไป ดังนี้เป็นการแถลงของทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอสืบพยาน จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว การที่วันรุ่งขึ้นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้สืบพยานโจทก์ใหม่ โดยอ้างว่าความจริงในวันนัด ร. มาศาลเมื่อเวลา 10.15 น. แต่มิได้เข้าฟังการพิจารณาเพราะดูในกระดานนัดความของศาลไม่พบชื่อบริษัทโจทก์ ก็จะนำมาลบล้างคำแถลงของทนายโจทก์โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ ทั้งเป็นการล่วงเลยเวลาสืบพยานโจทก์ไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะสืบพยานโจทก์ใหม่ ศาลชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์เสีย กรณีเช่นนี้ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ตามคำร้องของโจทก์ชัดแจ้งแล้ว ศาลหาจำต้องไต่สวนคำร้องนั้นอีกไม่ และมาตรา 21 ก็ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง ทั้งไม่ใช่กรณีที่ศาลไม่ให้โอกาสเต็มที่แก่คู่ความที่จะมาฟังการพิจารณาและใช้สิทธิเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาตามมาตรา 103 ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเสร็จและมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะใช้อำนาจตามมาตรา 243(2) ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์เสียก่อนแล้วสั่งใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ภ.ค.(พ) ๘ ให้ยกคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ ๒,๓,๔ เสีย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ เลื่อนการสืบพยานโจทก์มาแล้ว ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ คือวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๕ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลความว่า นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ โจทก์จำเลยมาศาล ทนายโจทก์รอพยานอยู่จน ๑๐.๓๐ นาฬิกา พยานยังไม่มาเลยสักคนเดียว นายราชัย เตชะพูนผล กรรมการผู้จัดการโจทก์ซึ่งนัดจะเบิกความวันนี้ก็ไม่มา ทนายโจทก์แถลงว่า นัดกับนายราชัยแล้วว่าจะมา แต่ก็ไม่มา ไม่ทราบจะทำประการใด ขอให้ศาลสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดก็ให้สืบพยานจำเลยไปโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แล้วศาลนัดสืบพยานจำเลย รุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ โจทก์ยื่นคำร้องว่า นายราชัย เตชะพูนผล มาศาลในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๕ เมื่อเวลา ๑๐.๑๕ นาฬิกา โดยเข้าใจว่าทนายโจทก์ให้มาตรวจเอกสารและไปดูที่กระดานนัดหาชื่อบริษัทไม่พบ นายราชัยนั่งรอทนายอยู่ที่หน้าศาลแพ่งจนเวลา ๑๑ นาฬิกา จึงได้พบทนายที่หน้าศาลแพ่ง ได้ไปดูที่กระดานนัดอีกครั้ง จึงพบในกระดานนัดด้านหลังเขียนว่า บ.ป๊อบ โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย บัลลังค์ ๑๙ ซึ่งถ้าผู้ร้องได้เห็นในครั้งแรกและไม่เกิดความเข้าใจผิด ผู้ร้องก็คงไปบัลลังค์ ๑๙ และเข้าสืบพยานได้ทัน ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ.
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ไม่มีเหตุจะพิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง
วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๖ โจทก์ยื่นคำร้องขอนำพยานเข้าสืบอีก โดยอ้างว่าเข้าใจผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ศาลสั่งให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณานำสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ ขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกคำสั่งนี้และยกเลิกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยใหม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ เสียก่อน แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๕ ทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๒ มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า นัดกับนายราชัย (พยานโจทก์) แล้วว่าจะมา แต่ไม่มา ไม่ทราบจะทำประการใด ขอให้ศาลสั่งต่อไป ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอสืบพยาน จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว การที่โจทก์ยื่นคำร้องในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ และ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๖ ขอสืบพยานโจทก์ใหม่ โดยอ้างว่านายราชัยมาศาลในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๕ แล้วนั้น จะนำมาลบล้างคำแถลงของทนายโจทก์ซึ่งดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ ทั้งกรณีตามคดีนี้ก็เป็นการล่วงเลยเวลาสืบพยานโจทก์ไปแล้ว โดยโจทก์ไม่มีพยานมาสืบและศาลนัดสืบพยานจำเลยไปแล้ว ศาลชั้นต้นไม่ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด เมื่อข้อเท็จจริงมีปรากฏว่าอยู่ตามคำร้องของโจทก์ชัดแจ้งแล้วดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็หาจำต้องไต่สวนคำร้องนั้นอีกไม่ กรณีตามคำร้องของโจทก์ดังกล่าว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๑ ก็ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง ทั้งไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๐๓ ดังที่ศาลอุทธรณ์อ้าง เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลไม่ให้โอกาสเต็มที่แก่คู่ความในอันที่จะมาฟังการพิจารณาและใช้สิทธิเกี่ยวด้วยกระบวนพิจารณา จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓(๒) ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ เสียก่อน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกันคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share