คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ช. ผู้สั่งจ่ายเช็คทำเอกสารหมาย จ.3 รับรองว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้เป็นผู้ทรงเช็คจริง แต่ขณะนี้ยังขัดข้อง ช. ยอมเป็นผู้รับเรือน ยอมรับผิดที่จะต้องใช้เงินแทนจำเลยที่ 1 เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง โดยขอผัดชำระหนี้ไปภายในเดือนกรกฎาคม 2505 เมื่อผู้รับเรือนใช้หนี้รายนี้เสร็จแล้ว หนี้สินเดิมจึงจะเสร็จสิ้นกัน ไม่มีข้อความตอนใดว่า การที่ช. ยอมเข้ามาเป็นผู้รับเรือนและยอมใช้หนี้เงินกู้รายนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว จะให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 หลุดพ้น ดังนี้ สัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 จึงมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลบที่ 1 มาเป็น ช. หนี้เงินกู้จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและฎีกาที่ 349
แม้ ช. จะได้ออกเช็คให้โจทก์ผู้ให้กู้ แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค หนี้จึงไม่ระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายและแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321
หลังจากที่จำเลยที่ 1 นำช. เข้ามาผูกพันกับหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้ไปจากโจทก์แล้ว การติดต่อทวงถามหนี้ได้เป็นไปเพียงระหว่างโจทก์กับ ช. เท่านั้น โจทก์กับ ช. ตกลงผ่อนการชำระหนี้แก่กัน ช. ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ 4 ครั้ง ดังนี้ พฤติการณ์ของ ช. หาใช่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แต่ประการใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใช้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๖๓,๕๐๐ บาท และถ้าไม่ชำระให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทนในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า ได้ชำระแล้ว จำเลยที่ ๓ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ชำระแล้ว และก่อนชำระโจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ช. ให้เงินกู้ ๔๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๔๐,๐๐ บาท นับแต่วันกู้ถึงวันฟ้อง ให้โจทก์กับให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี (ตามฟ้องขอท้ายฟ้อง) ในต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ต่อจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ใช้ ก็ให้จำเลยที่ ๓ ใช้แทน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ชำระต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๕ จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๓,๕๐๐ บาทให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ มอบเช็คของจำเลยที่ ๑ เป็นประกัน จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ถึงกำหนดชำระต้นเงินกู้ จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ชำระและขอผัดไป จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนเช็คจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ใหม่ ต่อมาวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ นำนายชัยลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับหนี้เงินกู้รายนี้โดยโจทก์จำเลยที่ ๑ นายชัยลักษณ์ได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้ และได้มอบเช็คของนายชัยลักษณ์ให้โจทก์ไว้ จำนวนเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมานายชัยลักษณ์ไม่มีเงินให้โจทก์ตามเช็ค นายชัยลักษณ์จึงเปลี่ยนเช็คให้โจทก์ใหม่เป็น ๕ ฉบับ ฉบับละหนึ่งหมื่นบาท ต่อมาโจทก์รับเงินตามเช็คที่นายชัยลักษณ์ออกให้ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าได้มีการเปลี่ยนตัวนายชัยลักษณ์เป็นลูกหนี้แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ โจทก์มีเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และนายชัยลักษณ์ว่า เมื่อมีการตกลงนำนายชัยลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับหนี้เงินกู้ ได้ทำเอกสารกันไว้ดังกล่าว มีความว่า วันนี้นายสุพรรณ (จำเลย) นำนายชัยลักษณ์เจ้าของเช็คเลขที่ ข.๒๔๘๔๐๒๙ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๕ จำนวนเงินห้าหมื่นบาทซึ่งนายสุพรรณเป็นผู้ทรงเช็คฉบับนี้ เอามาใช้หนี้ให้พระนนทประชา นายชัยลักษณ์ผู้สั่งจ่ายรับรองว่านายสุพรรณเป็นผู้ทรงเช็คนี้จริง แต่ขณะนี้ยังขัดจ้องเรื่องหนังเข้าฉายตามโรงที่บุ๊กไว้ให้ไม่ได้ นายชัยลักษณ์ยอมเป็นผู้รับเรือน ยอมรับผิดชอบที่จะต้องใช้เงินจำนวนห้าหมื่นบาทแทนนายสุพรรณเพิ่มขึ้นคนหนึ่งโดยขอผัดจะชำระหนี้ ๕๐,๐๐๐ บาทนี้ไปภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๕๖ ไม่ให้ผิดนัดได้ เมื่อผู้รับเรือนใช้หนี้รายนี้ให้เสร็จสิ้นแล้ว หนี้เดิมจึงจะสิ้นกัน ข้อความในเอกสารนี้มีข้อความชัดว่า การที่นายชัยลักษณ์เข้ามาผูกพันกับหนี้เงินกู้รายนี้โดยจำเลยที่ ๑ นำเข้ามาเป็นผู้รับเรือนเข้าประกันจำเลยที่ ๓ อีกชั้นหนึ่ง และยอมรับผิดชอบใช้เงินแทนจำเลยที่ ๑ เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดว่า การที่นายชัยลักษณ์ยอมเข้ามาเป็นผู้รับเรือนและยอมรับใช้หนี้เงินกู้รายนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้วจะให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นไปจากความรับผิดหนี้เงินกู้รายนี้ ข้อความในเอกสารต่อไปมีว่า เมื่อนายชัยลักษณ์ใช้หนี้รายนี้เสร็จสิ้นแล้วหนี้สินเดิมจึงจะเสร็จสิ้นกัน เป็นการยืนยันว่าหนี้เงินกู้เดิมที่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กู้ไปนั้น คงผูกพันจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ อยู่ตลอดไปจนกว่านายชัยลักษณ์จะใช้หนี้รายนี้เสร็จสิ้น ดังนี้ สัญญาตามเอกสารหมาย จ.๓ จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ ๑ มาเป็นนายชัยลักษณ์ดังที่จำเลยฎีกา หนี้เงินกู้รายนี้จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๙
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนายชัยลักษณ์ออกเช็คเลขที่ดังกล่าวให้โจทก์แล้ว ต่อมานายชัยลักษณ์ไม่มีเงินชำระหนี้ให้โจทก์ นายชัยลักษณ์จึงขอเปลี่ยนเช็คใหม่เป็นเช็คฉบับละหนึ่งหมื่นบาทรวม ๕ ฉบับ ให้โจทก์ ในที่สุดนายชัยลักษณ์ก็ไม่มีเงินชำระ จึงฟังได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้ชำระต้นเงินกู้รายนี้เลย แม้ตายชัยลักษณ์จะได้ออกเช็คให้โจทก์ แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คนั้น หนี้รายนี้จึงไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑
ที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากที่จำเลยที่ ๑ นำนายชัยลักษณ์เข้ามาผูกพันกับหนี้รายนี้แล้ว ปรากฏว่าการติดต่อทวงถามหนี้รายนี้ได้เป็นไปเพียงระหว่างโจทก์กับนายชัยลักษณ์เท่านั้น โจทก์กับนายชัยลักษณ์ตกลงผ่อนการชำระหนี้แก่กันโดยตรง นายชัยลักษณ์ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์รวม ๔ ครั้ง เป็นพฤติการณ์เปลี่ยนตัวลูกหนี้มาเป็นนายชัยลักษณ์ เห็นว่า พฤติการณ์ของนายชัยลักษณ์ดังที่จำเลยฎีกามานั้น หาใช่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ประการใดไม่
พิพากษายืน

Share