คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโอนสิทธิเรียกร้องนั้น เพียงทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็สมบูรณ์หาจำต้องลงลายมือชื่อผู้รับโอนด้วยไม่ แต่การโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอน โดยได้ทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ
การโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลานั้น ย่อมโอนกันได้ หาต้องห้ามตามกฎหมายไม่ เพราะสิทธิที่โอนมีอยู่อย่างไรเท่าใด ผู้รับโอนก็รับโอนไปเพียงนั้นเท่านั้น
จำเลยโอนสิทธิที่จะได้รับค่าระวางเรือส่วนลดจากบริษัทเรือให้แก่ธนาคารผู้ร้อง เพื่อที่จำเลยจะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากผู้ร้องต่อไปอีกตามข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ได้กระทำขึ้นหลังจากที่ผู้ร้องได้แสดงเจตนาจะปิดบัญชีไม่ยอมให้จำเลยเบิก เพราะจำเลยยังเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่ถึงหนึ่งล้านบาทเศษ และเกินยอดสูงสุดที่ได้ตกลงกันไว้ก่อน ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน

ย่อยาว

กรณีนี้พิพาทกันมาตั้งแต่คดีที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินจากจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่๑ ยอมความยอมใช้หนี้ โดยในคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากบริษัทเรือ ๔ บริษัทผู้ร้องได้ร้องขอให้ถอนการอายัด อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ได้โอนสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องไปแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แล้วพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เงินที่ถูกอายัดดังกล่าว ทางกองหมายได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าได้โอนมาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ในคดีนี้แล้ว ผู้ร้องได้ร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และได้ถอนคำร้องขอในคดีเดิมนั้นเสีย ใจความที่ร้องมีว่า จำเลยที่ ๑ ได้โอนสิทธิเรียกร้องในการที่จะได้เงินค่าระวางเรือส่วนลดจากบริษัทเดินเรือทั้งสี่ให้แก่ผู้ร้องแล้วโดยทำเป็นหนังสือโอนสิทธิ ตลอดจนบอกกล่าวให้ผู้ร้องและบริษัทเดินเรือทราบ และบริษัทเดินเรือทั้งสี่ก็ยอมจ่ายเงินแก่ผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีสิทธิที่จะเอาเงินจำนวนที่จะได้จาก ๔ บริษัทนี้เข้าเป็นกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย ขอให้มีคำสั่งว่าเงินทั้งสี่จำนวนที่บริษัทเดินเรือส่งมาไว้นั้น และเงินทั้งหมดที่จะได้จากบริษัทเดินเรือทั้งสี่รายนี้เป็นผู้ร้อง ให้คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์แก้คดีว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในเงินเหล่านี้ให้ผู้ร้อง แต่เสนอขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากผู้ร้อง และยอมให้เอาเงินค่าระวางเรือส่วนลดที่จะได้รับชดใช้หนี้นั้น แต่แล้วผู้ร้องไม่ยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชี ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิรับเงินค่าระวางเรือส่วนลดนี้ ทั้งสิทธินี้ยังมีเงื่อนไขเงื่อนเวลาบังคับอยู่ จึงหาได้โอนไปเป็นของผู้ร้องไม่ โจทก์ขออายัดไว้ตั้งแต่เงื่อนไขเงื่อนเวลายังไม่ทันสำเร็จ ผู้ร้องจึงหมดสิทธิ การโอนกระทำระหว่าง ๓ ปี ก่อนล้มละลาย โดยไม่สุจริต และไม่มีค่าตอบแทน
ต่อมาเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ขอถอนตัว แต่มีเจ้าหนี้อื่นดำเนินการคัดค้านแทน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้ต้นขอให้กลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงคัดค้าน
ผู้รองแถลงไม่สืบพยานเพิ่มเติมจากที่ได้เสนอไว้ในชั้นไต่สวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า เงินสี่จำนวนที่บริษัทเคี่ยนหงวน (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทดีทแฮล์ม จำกัด, บริษัทเบนไลน์สตีมเมอร์ส จำกัด , บริษัทอิสต์เอเซียติ๊ก จำกัด ส่งมาเป็นเงิน ๖๗,๖๐๐.๑๗ บาท, ๘๘,๔๒๘.๗๐ บาท, ๘๖,๖๙๙.๕๙ บาท และ ๒๔๓,๐๔๐ บาท ตามลำดับซึ่งพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดถือไว้ในฐานะเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ผู้ล้มละลายนั้นเป็นเงินที่ได้มาจากการใช้สิทธิเรียกร้องที่ตกไปเป็นของผู้ร้องอยู่ก่อนโดยชอบแล้ว รวมทั้งผู้ร้องมีสิทธิใเงินที่หากจะพึงได้จากสี่บริษัทนี้อีกตามสิทธิเรียกร้องที่ได้รับโอนมานั้น ซึ่งเป็นค่าระวางเรือส่วนลด ๑๐% ในงวดครึ่งปีหลัง พ.ศ. ๒๕๐๓ และงวดครึ่งปีแรก พ.ศ. ๒๕๐๔ เงินที่เรียกเก็บมาไว้แล้วและที่จะพึงได้อีกเหล่านี้ไม่ตกอยู่ในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ผู้ล้มละลาย แต่เป็นของผู้ร้อง ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนเงินที่รักษาไว้แล้วนั้นให้ผู้ร้องไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ฎีกาข้อ ๑ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องมิได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องไว้ต่อกัน ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๐๖ บัญญัติไว้แต่เพียงว่า การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือจึงจะสมบูรณ์ และโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น โดยทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ หากได้บัญญัติว่าการโอนสิทธิเรียกร้องจะทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนไม่ ฉะนั้นการโอนสิทธิเรียกร้องที่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เป็นการสมบูรณ์ เอกสาร ร.๓๓ ถึง ๔๔ เป็นหนังสือที่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าหนี้ทำขึ้น แสดงเจตนาโอนสิทธิเรียกร้องค่าระวางเรือส่วนลดที่มีต่อบริษัทเรือทั้งสี่เป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ ให้แก่ผู้ร้อง โดยบอกกล่าวให้บริษัทเรือจ่ายค่าระวางเรือส่วนลดนั้น ๆ ให้แก่ผู้ร้อง ถือได้ว่า การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ได้ทำเป็นหนังสือเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
ฎีกาข้อ ๒ ศาลฎีกาเห็นว่า การโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งมีเงื่อนไขเงื่อนเวลานั้น ย่อมโอนกันได้ เพราะสิทธิที่โอนอย่างไรเท่าใด ผู้รับโอนก็รับโอนไปเพียงนั้นเท่านั้น หาต้องห้ามตามบทกฎหมายไม่ และข้อเท็จจริงฟังได้ตามเอกสารว่า จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทเรือจ่ายค่าระวางส่วนลดสำหรับครึ่งปีแรก พ.ศ. ๒๕๐๔ แก่ผู้ร้อง เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องโดยเด็ดขาดและสมบูรณ์แล้ว
ฎีกาข้อ ๓ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องที่จำเลยที่ ๑ มีอยู่ต่อบริษัทเรือให้แก่ผู้ร้องไปโดยเด็ดขาดแล้ว มิใช่เพียงเพื่อประกันหนี้จำเลยที่ ๑ กู้ผู้ร้อง
ผลแห่งการโอนสิทธิเรียกร้องโดยเด็ดขาด ย่อมทำให้สิทธิที่จะได้รับค่าระวางเรือส่วนลดตกเป็นของผู้ร้อง ขาดจากการเป็นสิทธิหรือทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ สิทธิเรียกกร้องรายนี้จึงไม่ตกอยู่ในอำนาจจัดการครอบครองของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ฎีกาข้อสุดท้าย ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑โอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ให้ผู้ร้อง ก็เพื่อจำเลยที่ ๑ จะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากผู้ร้องต่อไปอีกตามข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องที่ได้กระทำขึ้นหลังจากที่ผู้ร้องได้แสดงเจตนาจะปิดบัญชีไม่ยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิก เพราะจำเลยที่ ๑ ยังเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่ถึงหนึ่งล้านบาทเศษ และเกินยอดสูงสุดที่ได้ตกลงกันไว้ก่อน ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนแล้ว
พิพากษายืน

Share