คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1415/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแสดงเจตนาที่จะเป็นพินัยกรรมได้ จะต้องมีลักษณะเป็นคำสั่ง คำสั่งนั้นเป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของบุคคลนั้น และในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อคนตาย
เจ้ามรดกมีหนังสือถึงโจทก์ซึ่งเป็นบุตร แจ้งให้ทราบว่าตนทำพินัยกรรมลับไว้ที่อำเภอในหนังสือระบุว่า ห้ามมิให้จำเลยขายที่นา และห้ามมิให้จำเลยออกเงินส่วนตัวทำศพเจ้ามรดก มิให้นาตกเป็นของจำเลย ให้แบ่งนาให้โจทก์คนละ 5 ไร่ เหลือจากแบ่งห้ามมิให้จำเลยขายเอาเงินทำศพเจ้ามรดก และไม่ให้นาส่วนที่เหลือตกเป็นของจำเลย เงินสด 10,000 บาท ถ้าทำศพเจ้ามรดกแล้วมีเงินเหลือมอบให้โจทก์ไป ให้โจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่านา ตอนท้ายของหนังสือมีความต่อไปว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามจดหมายนี้ ก็ให้โจทก์ไปร้องเรียนนายอำเภอ ขอให้นายอำเภอถอนพินัยกรรมลับด้วย ดังนี้ เอกสารหนังสือของเจ้ามรดกเป็นพินัยกรรม และเข้าแบบพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1657 เพราะเจ้ามรดกเขียนเองทั้งฉบับ มีผลเป็นการเพิกถอนพินัยกรรมลับของเจ้ามรดกซึ่งทำไว้ฉบับแรกบางส่วนตามมาตรา 1694
คดีที่มีจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ซึ่งเป็นทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจากจำเลย จำเลยจะยกอายุความมรดก 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่ เพราะกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ผู้จัดการมรดกจะต้องรับผิดต่อทายาทไว้โดยเฉพาะแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรค 2 ซึ่งมีกำหนด 5 ปี จำเลยมีสิทธิยกอายุความ 5 ปีที่นี้เท่านั้นขึ้นต่อสู้โจทก์
จำเลยมิใช่บุคคลภายนอก แต่เป็นผู้จัดการมรดก ต้องถือว่าจำเลยยึดถือที่นามรดกไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นทายาท จำเลยจะอ้างสิทธิว่าได้แย่งการครอบครองจากโจทก์มิได้ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนายเจิมนางขอ นายเจิมทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้บุตรเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๗ นายเจิมทำหนังสือเพิกถอนข้อกำหนดในพินัยกรรมลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ โจทก์จึงมีสิทธิรับส่วนแบ่งตามพินัยกรรมลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ข้อ (๑) ที่นาคนละ ๓ ไร่ ๒๖ วา รวม ๒ คน ๖ ไร่ ๕๒ วา ตามข้อ (๒) คนละ ๕ ไร่ ๓ งาน ๑๓ วา รวม ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๖๖ วา จำเลยโต้แย้งสิทธิขอให้ศาลบังคับให้แย่ง
จำเลยให้การว่า ก่อนนายเจิมตาย ได้ทำพินัยกรรมลับเขียนเองทั้งฉบับลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ มอบให้กรมการอำเภอ จำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกจากพินัยกรรม ที่นาตามพินัยกรรมข้อ (๑) จึงเป็นของจำเลยคนเดียว ส่วนที่นาแปลงที่ ๒ โจทก์มีส่วนได้คนละ ๕ ไร่ จำเลยได้แบ่งให้โจทก์ไว้แล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความและพ้นระยะเวลาที่โจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่นามรดกทั้ง ๒ แปลงตามฟ้องออกเป็น ๓ ส่วน ให้โจทก์จำเลยได้คนละ ๑ ส่วน ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ นายเจิมทำพินัยกรรมลับเขียนเองทั้งฉบับ แล้วนำไปมอบให้กรมการอำเภอ ต่อมาวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๗ นายเจิมมีหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองแจ้งให้ทราบว่าตนได้ทำพินัยกรรมลับไว้ที่อำเภอ ในหนังสือฉบับนี้ได้ระบุไว้ว่า ๑. ห้ามมิให้นายสรรเสริญขายที่นาที่ทุ่งหนองขาหย่าง และห้ามมิให้นายสรรเสริญออกเงินส่วนตัวทำศพนายเจิม และมิให้ยกนาตกเป็นของนายสรรเสริญ ๒. ให้แบ่งนาทุ่งมาบโพธิ์ให้แก่นางพร้อมและนายสง่า (นายสรรพชัย) คนละ ๕ ไร่ก่อน เหลือจากแบ่ง ห้ามมิให้นายสรรเสริญขายเอาเงินทำศพนายเจิม ห้ามมิให้นายสรรเสริญเอาเงินส่วนตัวทำศพ และไม่ให้นาส่วนที่เหลือตกเป็นของนายสรรเสริญ ๓. เงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท ถ้าทำศพนายเจิมและสร้างอนุสาวรีย์ให้นายเจิมและนางขอคนละ ๑ หลังแล้ว มีเงินเหลือมอบให้นางพร้อมและนายสง่า (นายสรรพชัย) ไป ๔. ให้นางพร้อมและนายสง่า (นายสรรพชัย) เป็นผู้เก็บค่าเช่านาแปลงที่ ๑ และที่ ๒ ตอนท้ายของหนังสือนี้มีข้อความต่อไปว่า ถ้านายสรรเสริญไม่ปฏิบัติตามจดหมายฉบับนี้ ก็ให้นางพร้อม นายสง่า (นายสรรพชัย) ไปร้องเรียนต่อนายอำเภอสรรค์บุรี ขอให้นายอำเภอถอนพินัยกรรมลับให้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า การแสดงเจตนาที่จะเป็นพินัยกรรมได้ จะต้องมีลักษณะเป็นคำสั่ง คำสั่งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของบุคคลนั้น และในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อคนตาย ศาลฎีกาพิเคราะห์หนังสือของนายเจิมฉบับลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๗ แล้ว เห็นว่า เข้าหลักเกณฑ์มีลักษณะเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของนายเจิมเมื่อนายเจิมตายไปแล้ว แม้หนังสือฉบับนี้จะเป็นหนังสือที่นายเจิมมีไปถึงนางพร้อมและนายสรรพชัยก็ตาม แต่บุคคลทั้งสองนี้เป็นบุตรนายเจิม มีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดก และในหนังสือระบุให้เป็นผู้ที่หน้าที่เก็บค่าเช่านาพิพาททั้งสองแปลงนี้ เอกสารหนังสือของนายเจิมฉบับนี้จึงเป็นพินัยกรรม และเข้าแบบพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕๗ เพราะนายเจิมเขียนเองทั้งฉบับ
เมื่อเอกสารนี้เป็นพินัยกรรมแล้ว จึงมีผลเป็นการเพิกถอนพินัยกรรมลับของนายเจิม ซึ่งทำไว้เป็นฉบับแรกส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๙๔ เฉพาะที่นาทุ่งหนองขาหย่าง และทุ่งมาบโพธิ์ นอกจากจะยกให้โจทก์ทั้งสองคนละ ๕ ไร่แล้ว นายเจิมไม่ประสงค์จะยกให้แก่ทายาทคนใด ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะเอานาพิพาททั้ง ๒ แปลงนี้มาเป็นของตนตามพินัยกรรมลับฉบับแรกได้
คดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามที่พินัยกรรมลับของนายเจิมฉบับลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ข้อ ๒ แต่งตั้งไว้ และไม่ปรากฏว่าพินัยกรรมของนายเจิมฉบับที่ลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เพิกถอนไม่ให้นายสรรเสริญเป็นผู้จัดการมรดกต่อไป และข้อเท็จจริง ก็ฟังได้ว่าจำเลยได้เข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกของนายเจิมตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมลับ คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยพินัยกรรม โจทก์ซึ่งเป็นทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนายเจิมจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยจะยกอายุความมรดก ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ ขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่ เพราะกฎหมายได้บัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ผู้จัดการมรดกจะต้องรับผิดต่อทายาทไว้ โดยเฉพาะแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๓ วรรค ๒ ซึ่งมีกำหนดอายุความ ๕ ปีนับตั้งแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง จำเลยมีสิทธิยกอายุความ ๕ ปีนี้เท่านั้นขึ้นต่อสู้โจทก์ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงในคดีนี้จะได้ความว่าโจทก์จะได้ทราบข้อกำหนดความพินัยกรรมฉบับหลัง และโจทก์มิได้ถือเอาประโยชน์จากข้อหนดในพินัยกรรมฉบับหลังนี้จนล่วงเลยเกิน ๑ ปีมาแล้วก็ตาม โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์มรดกของนายเจิมจากจำเลย ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าที่นามรดกของนายเจิมทั้ง ๒ แปลงนี้ได้แบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกคืนภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลา ๑ ปี นับตั้งแต่จำเลยได้แย่งการครอบครองไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิใช่บุคคลภายนอก แต่เป็นผู้จัดการมรดก จึงต้องถือว่าจำเลยยึดถือที่นาทั้งสองแปลงนี้แทนโจทก์ซึ่งเป็นทายาท จำเลยจะอ้างสิทธิว่าได้แย่งการครอบครองจากโจทก์มิได้ ดังนั้นจึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(ปันโน สุขทรรศนีย์ ยง เหลืองรังษี สว่าง ภูวะปัจฉิม)

Share