คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นโจทก์ฟ้องคดีบรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนี้ไว้แล้ว โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และขอให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยซึ่งเมื่อพิจารณาตามฟ้องแล้วเห็นได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เอง มิได้อาศัยอำนาจจากอธิบดีที่ดินซึ่ งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความในมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 และมิได้อ้างอำนาจตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ จำเลยบุกรุกเข้าล้อมรั้วและปลูกอาคารลงในที่ดินของโจทก์โดยพลการ และไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายในที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน จำเลยครอบครองมากว่า ๑๓ ปีแล้ว ฯลฯ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์โจทก์ได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนี้ไว้แล้ว โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ และขอให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย เมื่อพิจารณาตามฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เอง มิได้อาศัยอำนาจจากอธิบดีกรมที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมิได้อ้างอำนาจตามมาตรา ๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประเด็นจึงมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ที่ของโจทก์
จึงพิพากษากลับ.

Share