แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อตกลงของคู่สัญญาขายฝากเกี่ยวกับค่าเช่าทรัพย์สินที่ขายฝาก ถ้ามิได้จดแจ้งลงไว้ในสัญญาขายฝากเป็นอย่างอื่น คู่สัญญาย่อมมีสิทธินำสืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงในเรื่องนี้ได้ เพราะค่าเช่าซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นเงินต่างก้อนกับสินไถ่ซึ่งเป็นราคาไถ่ถอนที่ดินขายฝาก การนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับค่าเช่าระหว่างกำหนดเวลาขายฝาก จึงไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาขายฝากอันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๔  นายบานเย็นบิดาจำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดที่ ๒๖๐๒  และ ๒๖๐๓  ตำบลบางคณฑี  จังหวัดสมุทรสงคราม  รวม ๒ โฉนด  ไว้กับโจทก์  ในราคา ๑๕๕,๐๐๐ บาท  กำหนดไถ่ถอนภายใน ๑๐ ปี  ก่อนขายฝากนายบานเย็นได้ให้ผู้อื่นเช่าที่ดิน ๒ แปลงดังกล่าวนี้มาตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๐๑  และ ๖ มิถุนายน ๒๕๐๐  มีกำหนดเวลา ๕ ปี และ ๘ ปี  คิดค่าเช่าปีละ ๔,๐๐๐ บาท  และ ๕,๐๐๐ บาท  ตามลำดับ  โดยนายบานเย็นได้เก็บค่าเช่าล่วงหน้าไปทั้งหมดแล้ว  เมื่อนายบานเย็นนำที่ดิน ๒ แปลงนี้มาขายฝากแก่โจทก์  ได้ตกลงกันให้ผู้เช่าครอบครองที่ดินที่ขายฝากกันไปจนครบอายุสัญญาเช่า  ส่วนค่าเช่าที่นายบานเย็นได้เก็บล่วงหน้าไปแล้วนั้น  จะชำระให้โจทก์เมื่อไถ่ถอนการขายฝาก  แต่ถ้าไม่ไถ่ถอนที่ดินตกเป็นของโจทก์แล้วโจทก์จะไม่คิดเาอค่าเช่าที่นายบานเย็นเก็บไปแล้ว  ภายหลังที่นายบานเย็นถึงแก่กรรมเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๕  จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ฟ้องโจทก์ขอไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน ๒ แปลงนี้  ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์รับไถ่  และจำเลยได้ไถ่ที่ดินคืนไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๐๙  จำเลยจึงต้องชำระค่าเช่าระหว่างขายฝากแก่โจทก์ตั้งแต่วันขายฝากสำหรับที่ดินโฉนดที่๒๖๐๒  เป็นเวลา ๒ ปี ๒ เดือน  ในอัตราค่าเช่าปีละ ๔,๐๐๐ บาท  เป็นเงิน ๘,๖๖๖.๖๖ บาท  และโฉนดที่ ๒๖๐๓  เป็นเวลา ๓  ปี ๘ เดือน  อัตราค่าเช่าปีละ ๕,๐๐๐ บาท  เป็นเงิน ๑๘,๓๓๓.๓๓ บาท  รวมเป็นเงิน ๒๗,๐๐๐ บาท  นอกจากนี้เมื่อบิดาจำเลยถึงแก่กรรม  โจทก์ได้ทดรองค่าทำศพไปเป็นจำนวน ๕,๐๐๐ บาท  ซึ่งจำเลยในฐานะทายาทผู้รับมรดกและผู้ไถ่การขายฝากต้องรับผิดชอบชำระแก่โจทก์  ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระรวมทั้งดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดซึ่งโจทก์ขอคิดเพียง ๖ เดือน  จำนวน ๒,๔๐๐ บาท  เป็นเงิน ๓๔,๔๐๐ บาท
จำเลยให้การรวมทั้งฟ้องแย้งว่า  นายบานเย็นบิดาจำเลยไม่ได้เก็บค่าเช่าล่วงหน้าจากผู้เช่า  และหลังจากขายฝากแล้วก็เก็บค่าเช่าไม่ได้  บิดาจำเลยมิได้ตกลงให้ค่าเช่าระหว่างขายฝากเป็นของโจทก์  และจะชำระให้โจทก์เมื่อไถ่ถอนการขายฝาก  และแม้หากบิดาจำเลยจะเก็บค่าเช่าล่วงหน้ามาทั้งหมดก็เป็นกรรมสิทธิ์ของบิดาจำเลย  เพราะสัญญาขายฝากมิได้ระบุให้โจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่า  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  ทั้งโจทก์จะนำสืบให้เป็นอย่างอื่นนอกจากที่ปรากฏในสัญญาขายฝากไม่ได้  ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๙๔  โจทก์ไม่เคยออกเงินทดรองค่าทำศพบิดาจำเลย  โจทก์ชอบจะฟ้องแย้งเสียแต่ครั้งที่จำเลยฟ้องขอไถ่การขายฝากในคดีแดงที่ ๘๙/๒๕๐๙  ของศาลจังหวัดสมุทรสงคราม  แต่กลับมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้  จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘  และคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องภายใน ๑ ปี  นับแต่บิดาจำเลยถึงแก่กรรม  การที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังครบกำหนดสัญญาเช่าจนกระทั่งไถ่คืนการขายฝากแล้ว  โดยโจทก์ไม่มีสิทธิตามสัญญาขายฝาก  ย่อมเป็นละเมิด  จำเลยขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินโฉนดที่ ๒๖๐๒ เป็นเวลา ๒ ปี ๗ เดือน  เป็นเงิน ๑๐,๓๓๓.๓๓ บาท  และที่ดินโฉนดที่ ๒๖๐๓  เป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน  เป็นเงิน ๕,๘๓๓.๓๓ บาท  รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๑๖,๑๖๖.๖๕ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า  ระหว่างการขายฝากกรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของโจทก์  โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิเก็บผลประโยชน์และค่าเช่าระหว่างการขายฝากได้  และฟ้องแย้งจำเลยเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ ๘๙/๒๕๐๙  ของศาลจังหวัดสมุทรสงคราม  และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ในวันชี้สองสถาน  คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า  เดิมนายบานเย็นได้จำนองที่พิพาท ๒ แปลงนี้ไว้กับโจทก์  ต่อมาวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๔  หลังจากไถ่ถอนจำนองแล้ว  ได้ขายฝากกับโจทก์ไว้มีกำหนด ๑๐ ปี  ภายหลังนายบานเย็นถึงแก่กรรมแล้ว  จำเลยซึ่งเป็นบุตรนายบานเย็นได้ฟ้องขอไถ่ถอนการขายฝาก  ศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์รับไถ่และจำเลยได้ไถ่ถอนที่ดิน ๒ แปลงนี้ไปแล้ว  เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๙  ระหว่างที่ดินติดจำนองอยู่นั้น  นายบานเย็นได้ให้นางลูกจันทร์และนายบุญส่งเช่าที่ดินโฉนด ๒ แปลง  ในกำหนดเวลาและอัตราค่าเช่าตามรายละเอียดในฟ้องโจทก์  และได้บันทึกไว้หลังสัญญาเช่าว่า  โจทก์ผู้รับจำนองยินยอมให้นายบานเย็นผู้จำนองให้เช่าที่ดินได้  และนายบานเย็นได้รับค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำแลไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม  แต่โจทก์จะนำสืบข้อตกลงเกี่ยวกับค่าเช่าที่ดินขายฝากไม่ได้เพราะเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร  ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔  ส่วนเงินทดรองค่าทำศพฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ออกแทนจำเลยไป  การที่โจทก์เก็บผลประโยชน์ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาขายฝาก จึงไม่เป็นการละเมิด  พิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์โต้แย้งเฉพาะในข้อกฎหมายที่โจทก์ต้องห้ามนำสืบตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย  นอกนั้นคงอุทธรณ์โต้แย้งในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  การนำสืบของโจทก์ในข้อตกลงเรื่องค่าเช่าในที่ดินขายฝากไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔  แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามที่โจทก์อ้าง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์จะมีสิทธินำสืบข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องค่าเช่าที่ดินขายฝากได้หรือไม่ว่า  ค่าเช่าทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นเงินคนละอย่างกับเงินค่าไถ่หรือสินไถ่การขายฝาก  โดยค่าเช่าเป็นดอกผลของที่ดินขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๐  ส่วนค่าไถ่หรือสินไถ่คือราคาไถ่ถอนหรือราคาซื้อคืน  จึงเป็นเงินต่างจำนวนกัน  การนำสืบเรื่องค่าเช่าจึงมิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาขายฝากอันเกี่ยวกับค่าไถ่หรือสินไถ่แต่อย่างใด  อีกประการหนึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องจดแจ้งเรื่องค่าเช่าทรัพย์สินที่ขายฝากลงไว้ในสัญญา  หรือมีข้อความตกลงเกี่ยวกับค่าเช่าไว้ในสัญญาขายฝาก  อันจะถือว่าเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาขายฝาก  ข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องค่าเช่าที่โจทก์ฟ้องนี้เห็นได้ว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากสัญญาขายฝาก  โจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคลได้  ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔  ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริงที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องค่าเช่าว่าจะต้องชำระให้โจทก์เมื่อไถ่ถอนการขายฝาก  ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่ารับฟังไม่ได้ว่ามีข้อตกลงจริงดังที่โจทก์อ้าง เมื่อกรณีรับฟังไม่ได้ว่าได้มีสัญญาต่อกันไว้ระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยเกี่ยวกับค่าเช่าที่พิพาทระหว่างระยะเวลาขายฝาก  อันเป็นมูลฐานแห่งสิทธิที่โจทก์อ้างมาในฟ้องเช่นนี้  โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี  ส่วนเงินทดรองค่าทำศพนายบานเย็นบิดาจำเลยที่โจทก์อ้างว่าให้นายใช่ไล้ยืมไปเพื่อการดังกล่าวนั้น  เห็นว่าโจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอากันเอง  ไม่เกี่ยวกับจำเลย
พิพากษายืน

