แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนแล้วว่าโจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้นำเจ้าพนักงานแผนที่ไปทำการรังวัดเพื่อกำหนดเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์จำเลย จึงเห็นได้ว่าการกระทำของเจ้าพนักงานก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ทั้งสิ้น และเมื่อปรากฏว่าได้มีการปักหลักลงในคูพิพาทอันเป็นการนอกเหนือเกินกว่าที่ปรากฏในสัญญายอม แม้โจทก์อ้างว่าเจ้าพนักงานแผนที่เป็นผู้สั่งให้ปักก็ตาม ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ ข้อเท็จจริงในสำนวนจึงพอที่ศาลจะสั่งได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวน
ย่อยาว
กรณีเนื่องจากโจทย์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่า โจทก์จำเลยตกลงให้คูพิพาทเป็นกรรมสิทธิคนละครึ่งจากหลัก ล.ม.๑ ถึงหลักคอนกรีต ๒๕๙๕๕ ให้ขึงเส้นตรง โจทก์จำเลยถือเอาเส้นตรงนี้เป็นแนวเขต ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญายอมความ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ร้องต่อศาลว่าโจทก์ละเมิดเอาไม้แก่นปักในกลางลำคู จำเลยใช้เรือเข้าออกคูพิพาทไม่ได้ เมื่อศาลเรียกโจทก์มาสอบถามโจทก์แถลงว่าปักหลักตามคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้ทำการรังวัด จำเลยว่าการปักหลักเป็นการผิดสัญญายอม
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รื้อเสาในคูออกให้หมดภายใน ๗ วัน ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติให้จำเลยมีสิทธิรื้อถอนเองได้ ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าพนักงานแผนที่สั่งให้โจทก์ปักหลักในลำคูจริงหรือไม่ และเป็นการจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปักหลักเขตในคู และพิเคราะห์สั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนแล้วว่า โจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้นำเจ้าพนักงานแผนที่ไปทำการรังวัดเพื่อกำหนดเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอม จึงเห็นได้ว่าการกระทำใด ๆ ของเจ้าพนักงานก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ทั้งสิ้น และเมื่อปรากฏว่าได้มีการปักหลักลงในคูพิพาท อันเป็นการนอกเหนือเกินกว่าที่ปรากฏในสัญญายอม แม้โจทก์จะอ้างว่าเจ้าพนักงานเป็นผู้สั่งให้ปักก็ตาม ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดของโจทก์ ข้อเท็จจริงในสำนวนจึงมีพอที่ศาลจะสั่งได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวน และศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์รื้อถอนหลักเหล่านั้นได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น.