แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ซื้อทรัพย์สินที่ถูกเจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญา เพราะเป็นทรัพย์ที่จะพึงริบตามกฎหมาย จะอ้างการโอนนั้นยันเจ้าพนักงานไม่ได้
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าเจ้าของทรัพย์ไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ศาลก็ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่ริบนั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2509)
ย่อยาว
เรื่องเดิมมีว่า จำเลยถูกศาลจังหวัดตรังพิพากษาลงโทษฐานทำการชักลากไม้หวงห้ามในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และให้ริบไม้ ช้างพัก ๑ เชือก กับโซ่ ๒ เส้นของกลาง เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘ จำเลยไม่อุทธรณ์
ครั้งวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๘ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ช้างและโซ่ ๒ เส้นนั้นเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่รู้เห็นด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้ศาลสั่งคืนช้างและโซ่
ศาลจังหวัดตรังไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ช้างของกลางเป็นของผู้ร้องซึ่งไม่รู้เห็นในการกระทำของจำเลย จึงให้คืนช้างให้ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องมาเป็นเจ้าของข้างหลังการกระทำผิดของจำเลยทั้งรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดด้วย
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องซื้อช้างของกลางหลังวันที่จำเลยกระทำผิด ๓ เดือนเศษ จึงวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิของคืน พิพากษากลับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบได้ความเพียงว่าผู้ร้องได้รับโอนเป็นเจ้าของช้างทางทะเบียนภายหลังจำเลยกระทำผิดแล้ว ๓ เดือนเศษ และของกลางนี้ถูกเจ้าพนักงานยึดเป็นของกลางอยู่ในคดีอาญา เพราะเป็นทรัพย์อันจะพึงริบตามกฎหมาย ผู้ร้องจะอ้างการโอนนั้นยันเจ้าพนักงานไม่ได้ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าเจ้าของทรัพย์ไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดศาลก็ไม่สั่งคืนทรัพย์ที่ริบนั้น
พิพากษายืน.