คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์จำเลยเป็นพ่อค้าไม้ และเคยติดต่อซื้อขายไม้มาด้วยกันหลายครั้ง ครั้งที่เกิดเหตุโจทก์อ้างว่าได้รับโทรเลขจากจำเลยว่า อยากได้ไม้ประดู่ให้ส่งเงินไปให้จำเลย โจทก์จึงส่งเงินไป แสดงว่าโจทก์ส่งเงินให้จำเลยเพราะโจทก์อยากได้ไม้ประดู่ตามข้อเสนอของจำเลย โจทก์จึงส่งเงินไปให้จำเลยให้ฐานะโจทก์เป็นผู้ซื้อ จำเลยเป็นผู้ขายหาใช่จำเลยเป็นผู้รับเงินในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ หรือโจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไว้ซื้อไม้แทนโจทก์ไม่ กรณีดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของโจทก์ การที่จำเลยไม่ส่งไม้หรือไม่คืนเงินให้โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาทางแพ่ง ดังนี้ จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทางอาญา

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกันมา โจทก์ฟ้องจำเลยสองสำนวนว่า เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๐๖ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยได้ครอบครองเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท และ ๑๑,๐๐๐ บาท ตามลำดับของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้มอบให้จำเลยนำไปซื้อไม้ประดู่ส่งมอบให้โจทก์ ครั้นเมื่อระหว่างวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๐๖ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ จนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยมีเจตนาททุจริตเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวของโจทก์ไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ และขอให้นับโทษจำเลยติดต่อกันด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งว่าคดีมีมูลให้รับฟ้องโจทก์ไว้
จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหา และสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ เป็นเรื่องโจทก์ส่งเงินให้จำเลยซื้อไม้ประดู่ โดยตกลงราคากันลูกบาศก์เมตรละ ๕๒๐ บาท ถ้าจำเลยส่งไม้ประดู่ไปให้โจทก์เป็นเนื้อไม้เท่าใด ก็คิดเงินกันเท่านั้น ถ้าเงินที่โจทก์ส่งไปให้เกินไป จำเลยต้องคืนส่วนที่เกิน ถ้ายังไม่พอ โจทก์ต้องชำระส่วนที่ขาด จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปแล้วไม่เคยส่งไม้ประดู่ไปให้โจทก์เลย ถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าไม้ประดู่ที่ชำระไว้ล่วงหน้า กรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนนั้นตกอยู่แก่จำเลยแล้ว จำเลยมิได้อยู่ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์ของโจทก์ การที่จำเลยไม่ส่งไม้ประดู่ให้โจทก์หรือไม่คืนเงินให้โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาทางแพ่ง หาเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ทางอาญาไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยน่าจะมีความผิดฐานยักยอก มาตรา ๓๕๒ ดังโจทก์ฟ้อง แต่คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ฟังมา เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในเรื่องอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์และโจทก์นำสืบปรากฏว่าโจทก์จำเลยเป็นพ่อค้าไม้ เคยติดต่อซื้อขายไม้มาด้วยกันหลายครั้ง ครั้งที่จะเกิดเหตุนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้รับโทรเลขจากจำเลยว่า อยากได้ไม้ประดู่ให้ส่งเงินไปให้จำเลย โจทก์จึงส่งเงินไป แสดงว่าโจทก์ส่งเงินให้จำเลยก็เพราะโจทก์อยากได้ไม้ประดู่ตามข้อเสนอของจำเลย เมื่อพิจารณาประกอบกับคำโจทก์เองเบิกความว่าได้ตกลงกันราคาลูกบาศก์เมตรละ ๕๒๐ บาทด้วยแล้ว เห็นได้ชัดว่าโจทก์ส่งเงินไปให้จำเลยในฐานะโจทก์เป็นผู้ซื้อ จำเลยเป็นผู้ขาย หาใช่จำเลยเป็นผู้รับเงินในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ หรือโจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไว้ซื้อไม้แทนโจทก์ไม่ เห็นว่ากรณีดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของโจทก์ การที่จำเลยไม่ส่งไม้ประดู่ให้โจทก์ หรือไม่คืนเงินให้โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาทางแห่งไม่เป็นผิดฐานยักยอกทางอาญา พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

Share