แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง และจำเลยได้จำหน่าย         เมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่าย   เมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบทความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอีก  พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522  มาตรา 66        วรรคหนึ่ง เพียงบทเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานจำหน่าย                 เมทแอมเฟตามีน  ขอให้ยกฟ้อง  โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ให้ชัดแจ้งว่า  จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง     ตามฟ้องและพิพากษายืน ดังนี้ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะสมคบกันมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็   เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ  และมีเหตุผลติดต่อเชื่อมโยงกันมาเป็นลำดับ  มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้โดยกะทันหันพร้อมด้วยธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลางกับมีผู้มาชี้ตัวยืนยันความผิดของจำเลย จำเลยยังไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองหาข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น จึงต้องให้การรับสารภาพไปตามความสัตย์จริง ที่จำเลยเบิกความ อ้างลอย ๆ ว่า  เจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้จำเลยลงชื่อในบันทึกการตรวจค้นและจับกุม  ทั้งมิได้ถามค้านพยานโจทก์ ผู้ทำบันทึกการจับกุมให้ข้อนี้ไว้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์นำ อ. ผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยมาเป็นประจักษ์พยานเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลย อ. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุผลใดที่ อ. จะต้องให้การต่อพนักงานสอบสวนปรักปรำจำเลย  ทั้ง อ. ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง  ยังไม่ทันมีโอกาสคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดให้การช่วยเหลือหรือปรักปรำจำเลยได้  ที่ อ. เบิกความในชั้นพิจารณาในทำนองว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่เป็นความจริง  เป็นการเบิกความอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความรับรองว่า  ชั้นสอบสวน อ. ได้ให้การไว้จริง  พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทั้งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรุงแต่งเรื่องราวตามบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง พนักงานสอบสวนได้บันทึกคำให้การของ อ. ไปตามที่ อ. ให้การเองโดยสมัครใจ     การที่ อ. พยานโจทก์มาเบิกความต่อศาลบิดเบือนข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองเป็นอย่างอื่นให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือจำเลยในภายหลัง จึงไม่ควรนำคำเบิกความของ อ. มาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยหรือฟังเป็นข้อพิรุธทำลายน้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลย
การวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแห่งคดี เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง      ในสำนวนว่าข้อใดควรรับฟังได้เพียงใดหรือไม่  หาใช่พยานเบิกความอย่างไร  แล้วศาลจะต้องรับฟังเสมอไปไม่  แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดในมูลคดีเรื่องเดียวกันก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังทั้งมิใช่คำซัดทอดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด ศาลจึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ.  ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้
ในวันเกิดเหตุ อ. ได้ให้การต่อพยานโจทก์ผู้จับกุม จำเลยซัดทอดว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ อ. ทันที จึงเป็นเบาะแสไปสู่การตรวจค้นบ้านของจำเลยจนพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลาง การที่      พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช่ล่อซื้อบางส่วนตกมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยนั้น จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. ประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้น
พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานได้รับตัวจำเลยพร้อมของกลางจากพยานโจทก์    ผู้จับกุมจำเลยเมื่อเวลา 22 นาฬิกาเศษ  ซึ่งห่างจากเวลาตรวจค้นและจับกุมจำเลยนานถึง 5 ชั่วโมงเศษ  เหตุดังกล่าว     น่าจะเป็นเพียงความล่าช้าในการปฏิบัติงานของผู้จับกุมจำเลยเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทำให้         น่าสงสัยว่าจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม
แม้ปรากฏว่ามีการลงบันทึกเกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีคลาดเคลื่อนไป แต่ จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเมื่อนำมาฟังประกอบกันแล้ว  มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า  จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่ อ. จริงตามฟ้อง   ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ยาเสพติด-    ให้โทษ พ.ศ. 2522 เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกจากกัน  จึงเป็นความผิดคนละบทหรือคนละกรรมกันแล้วแต่กรณี   เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง จำนวน  94  เม็ด น้ำหนักรวม 8,420 กรัม และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันและจำเลยได้จำหน่ายหมดไปในคราวเดียวกันโดย   ไม่มีเหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยอีก  จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90  ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา  ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๔, ๖๖, ๖๗, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓ ริบของกลางทั้งหมดยกเว้นธนบัตรของกลางซึ่งเป็นของ          เจ้าพนักงาน  และนับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ ๒ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๓๗๘/๒๕๔๐  ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ  แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ ๒ ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคหนึ่ง จำคุก ๖ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ ปี ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ กล่องพลาสติก และถุงพลาสติกใส่ของกลาง ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๓๗๘/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น  ศาลยังมิได้พิพากษา จึงไม่อาจ  นับโทษต่อให้ได้ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖  พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง และจำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบทความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอีก และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคหนึ่ง เพียงบทเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตามฟ้องอีกบทหนึ่ง ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน    ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์มาให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน       ของกลางไว้ในครอบครองด้วย  ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ วินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริงตามฟ้อง และพิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖ ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ จึงถือได้ว่าความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาหรือไม่ 
 เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะสมคบกันมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในข้อหาสาระสำคัญ และมีเหตุผลติดต่อเชื่อมโยงกันมาเป็นลำดับ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็มีเหตุน่าเชื่อว่า  เป็นเพราะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้โดยกะทันหันพร้อมด้วยธนบัติที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลางกัยมีนายอมรมาชี้ตัว  ยืนยันความผิดของจำเลย จำเลยยังไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองห้าข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น จึงต้องให้การรับสารภาพไปตามความสัตย์จริง หากจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์มิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเช่นนั้น สำหรับบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ซึ่งจำเลยได้ลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้นั้น           ก็ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงสอดคล้องกับที่พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยมาเบิกความ ที่จำเลยเบิกความโต้เถียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้จำเลยลงชื่อในบันทึกการตรวจค้นและจับกุมนั้น เห็นว่า จำเลยเบิกความอ้างลอย ๆ ทั้งมิได้ถามค้านพยานโจทก์ผู้กำกับการจับกุมในข้อนี้ไว้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ นอกจากนี้โจทก์ยังได้นำนาย อ. ผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจำเลยมาเป็นประจักษ์พยานเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลย เห็นว่า นาย อ. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคือง     กับจำเลยมาก่อน หากนาย อ. มิได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยโดยตรง และจำเลยมิได้มอบธนบัตร     ๒๐๐ บาท ให้แก่นาย อ. เป็นส่วยลดหรือค่าตอบแทน ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นาย อ. จะต้องให้การต่อพนักงานสอบสวนปรักปรำจำเลยเช่นนั้น ทั้งนาย อ. ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง ยังไม่ทันมีโอกาสคบคิดกับ    ผู้หนึ่งผู้ใดให้การช่วยเหลือหรือปรักปรำจำเลยได้ ที่นาย อ. เบิกความในชั้นพิจารณาในทำนองว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่เป็นความจริงนั้น เป็นการเบิกความอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ นอกจากนี้โจทก์ยังมี     ร้อยตำรวจเอก พ. พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความรับรองว่าชั้นสอบสวนนาย อ. ได้ให้การไว้ตามบันทึก           คำให้การจริง  พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ ทั้งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพนักงานสอบสวนจะปรุงแต่งเรื่องราวตามบันทึกคำให้การดังกล่าวขึ้นมาเองเพื่อปรักปรำจำเลยโดยปราศจากมูลความจริง หากพนักงานสอบสวนคิดกลั่นแกล้งว่าจำเลยก็สามารถปรุงแต่งเรื่องราวในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลย เป็นคำให้การรับสารภาพด้วยแล้ว แต่พนักงานสอบสวนก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าพนักงานสอบสวนได้บันทุกคำให้การของนาย อ. ไปตามที่นาย อ. ให้การเองโดยสมัครใจ การที่นายอมรมา    เบิกความต่อศาลบิดเบือนข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองเป็นอย่างอื่นเช่นนี้  น่าเชื่อว่านาย อ. เบิกความให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือจำเลยในภายหลังจึงไม่ควรนำคำเบิกความของนายอมรมาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกาหรือฟังเป็นข้อพิรุธทำลายน้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลย ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ทั้งนี้เพราะในการวินิจฉัยขาดข้อเท็จจริงแห่งคดี เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวนว่าข้อใดควรรับฟังได้เพียงใดหรือไม่ หาใช่ว่าพยานเบิกความอย่างไร     แล้วศาลจะต้องรับฟังเสมอไปไม่ แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของนาย อ. จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดในมูลหนี้เรื่องเดียวกัน ก็ไม่มีบทบัญญัติมิให้ศาลรับฟังทั้งมิใช่คำซัดทอดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด ศาลจึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนาย อ. ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ การที่พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยได้ติดตามไปจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีนี้โดยจับกุมนาง ล. มาดำเนินคดีด้วย ก็เป็นพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า ในวันเกิดเหตุนาย อ. ได้ให้การต่อพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยซัดทอดว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นาย อ.    ทันที จึงเป็นเบาะแสไปสู่การตรวจค้นบ้านของจำเลยจนพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนจำนวน ๓๐๐ บาท เป็นของกลาง การที่พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อวื้อบางส่วนแตกมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยนั้น จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนคำให้การในชั้นสอบสวนของนายอมรประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานได้รับตัวจำเลยพร้อมของกลางจากพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยเมือเวลา  ๒๒ นาฬิกาเศษ ซึ่งหากจากเวลาตรวจค้นและจับกุมจำเลยนานถึง ๕ ชั่วโมงเศษ เป็นข้อพิรุธทำให้น่าสงสัยว่าจำเลยมิได้สมัครใจลงชื่อรับสารภาพในบันทึกการตรวจค้นและจับกุมนั้น เห็นว่า เหตุดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงความล่าช้าในการปฏิบัติงานของผู้จับกุมจำเลยเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทำให้น่าสงสัยว่าจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมดังที่จำเลยอ้างและที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญ 
 แม้จะปรากฏว่ามีการลงบันทึกเกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานนำสืบมานี้ เมื่อนำมาฟังประกอบกันแล้ว มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า       วันเกิดเหตุจำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นายอมรจริง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน    ตามฟ้องนั้น  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย  ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง  ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่   จำต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอีกบทหนึ่งและศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายืน   มานั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองนั้น เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและการกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกจากกัน จึงเป็นความผิดคนละบทหรือคนละกรรมกันแล้วแต่กรณี เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและจำหน่ายเป็นจำนวน เดียวกันและจำเลยได้จำหน่ายหมดไปในคราวเดียวกันโดยไม่มีเหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยอีก จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๖๗ บทหนึ่ง และมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๖๖ วรรคหนึ่ง อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๖๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐    นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖

