แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า ยาเสพติดให้โทษมีสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม ยังไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังมิได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง,102 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ลงโทษจำคุก 5 ปี รวมให้ลงโทษจำคุก 11 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุก 7 ปี 4 เดือน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 71)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบของโจทก์ มิใช่โดยอาศัยข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ฎีกาของจำเลยไม่ตรงต่อรูปเรื่อง จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ข้อ 2(2) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง