แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ฉบับลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2531ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมาย ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน อันเป็นข้อกฎหมายที่ชัดแจ้งและเป็นสาระสำคัญแก่คดีโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 76)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
พิเคราะห์ฎีกาของโจทก์แล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่ว่าการซื้อขายนาฬิการะหว่างโจทก์จำเลยจะมีข้อตกลงว่า หากเป็นของปลอมโจทก์ยินดีรับคืนและจำเลยจะไม่สั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ เป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตรงตามที่โจทก์อุทธรณ์ เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยที่ว่าจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระให้โจทก์หรือไม่ และข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยต่อมาก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน หาใช่ข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ปรากฏในสำนวนไม่ ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง