แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า อำนาจในการสั่งทุเลาการบังคับหรือไม่ อยู่ที่ศาลอุทธรณ์และเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเรื่องนี้อย่างไรแล้วคู่ความฎีกาไม่ได้ จึงสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 3 เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 3อุทธรณ์อย่างคนอนาถา การที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดยให้จำเลยที่ 3 หาหลักประกันมาวางต่อศาล จึงหาได้เป็นไปตามเจตนารมย์แห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 ไม่ อีกทั้งก็มิใช่เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 6)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 250,242.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 248,202.42 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์และให้จำเลยที่ 1 ที่ 3ร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาขายลดตั๋วจำนวน 276,303.42 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 3 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับเฉพาะจำเลยที่ 3 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง (อันดับ 7)
จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ1)
จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 2) โดยทนายจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในคำร้อง แต่ไม่ปรากฏใบแต่งทนายในถ้อยคำสำนวนที่ส่งมาศาลฎีกา
คำสั่ง
คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งในเรื่องการทุเลาการบังคับเป็นอย่างไรแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3 ชอบแล้วยกคำร้อง