แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า รับเป็นอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะปัญหาข้อ ก.ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนข้อ ข.เป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฟ้องแย้งก็คือคำฟ้องของจำเลย ซึ่งต้องนำสืบให้รับฟังได้ตามฟ้องแย้งแต่คดีนี้เมื่อจำเลยไม่นำพยานเข้าสืบเลย ปัญหาที่ว่าศาลจะมีอำนาจพิพากษาบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2 ข. ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 2 แถลงคัดค้าน (อันดับ 41)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าอากรขาเข้ากับเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 4,589.68 บาทแก่โจทก์กับให้ร่วมกันชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่ขาดจำนวน 2,086.48 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์คืนเงินประกันจำนวน 2,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2530ซึ่งเป็นวันที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นต้นไป
โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 35)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 37)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ ข.ที่ว่าเมื่อจำเลยไม่นำพยานเข้าสืบให้ได้ความฟ้องแย้ง ศาลภาษีอากรกลางจะพิพากษาบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ ข.ไว้ดำเนินการต่อไป