แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า การกล่าวข้อเท็จจริงในฎีกาเป็นการยกให้ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงใดที่มีอยู่ในสำนวนแต่ศาลมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือวินิจฉัยแล้วแต่คลาดเคลื่อน เป็นการไม่ชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาที่ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดเพราะรู้สำนึกในการกระทำและขณะเดียวกันจำเลยประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลนั้น ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ขอศาลฎีกาโปรดวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 44)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358,359,362,363,365,83,84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 43)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้ยกข้อเท็จจริงบางประการขึ้นประกอบการวินิจฉัยก็ดี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามขาดเจตนากระทำความผิดก็ดี เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง