แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยฎีกาและขอทุเลาการบังคับแต่ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยได้ขายที่พิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายคำร้องโดยบุคคลภายนอกทราบดีว่าที่พิพาทกำลังมีคดีอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและฉ้อฉลโจทก์การที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโจทก์จะไม่ได้รับที่ดินพิพาท โปรดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทุเลาการบังคับแก่จำเลยและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวประโยชน์ของโจทก์ไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาต่อไป โดยห้ามจำเลยจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทอีกต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2115 ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 12ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 12 ไร่ หากจำเลยไม่แบ่งที่ดินให้โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกาและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ (อันดับ 51,62)
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา แต่ห้ามจำเลยทำนิติกรรมหรือก่อให้เกิดภาระผูกพันที่พิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินทราบ(อันดับ 71)
ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งศาลฎีกาให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบ้านไผ่ ทราบแล้ว (อันดับ 74)
โจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 75)
คำสั่ง
คำร้อง ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วได้ความว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วจึงไม่มีกรณีที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ได้ตามคำร้อง ส่วนที่ขอให้เพิกถอนการทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกานั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทไปแล้ว จึงไม่มีกรณีที่จะเพิกถอนคำสั่งทุเลาการบังคับอีกเช่นกัน ให้ยกคำร้อง