แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา โดยเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ต่อมาศาลชั้นต้นหมายนัดแจ้งว่าศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 82,050 บาทมาชำระต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันรับหมายนี้ มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ทิ้งฎีกา
โจทก์เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิให้โจทก์ได้เช่าช่วง 20 ปีตามสัญญา เป็นการขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญามิใช่เรียกร้องเอากรรมสิทธิ์ในทรัพย์มาเป็นของตน จึงเป็นคำขอที่ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้น หากโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา ก็น่าจะเสียตามจำนวนทุนทรัพย์เช่นเดียวกับที่เสียในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ คือ 37,500 บาท จากทุนทรัพย์1,500,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้เสียไว้แล้ว 200 บาท ก็ให้เสียเพิ่มอีกเพียง 37,000 บาท โปรดมีคำสั่งแก้เป็นว่าโจทก์ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามที่ศาลชั้นต้นสั่งไว้ หรือมิฉะนั้นให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเพียง 37,000 บาท และเนื่องจากโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน 82,050 บาทตามคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้วโปรดมีคำสั่งคืนส่วนที่เกินแก่โจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนทำลายนิติกรรมโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทตามแบบแผนการก่อสร้างของกรมธนารักษ์หมายเลขที่ 15,20,21 รวม 3 คูหา ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3บังคับให้จำเลยทั้งสามส่งมอบอาคารพิพาทและโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาททั้งสามคูหาดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยเปลี่ยนให้โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารดังกล่าวจากเทศบาลเมืองสมุทรปราการโดยตรงแทนจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสามขัดขืน ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม หากจำเลยทั้งสามส่งมอบอาคารพิพาทและโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยเปลี่ยนให้โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารดังกล่าวจากเทศบาลเมืองสมุทรปราการโดยตรงแทนจำเลยที่ 1ไม่ได้ ก็ให้จำเลยทั้งสามชดใช้ราคาเป็นเงิน 1,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้เบี้ยปรับให้แก่โจทก์คิดเป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะได้ส่งมอบอาคารพิพาททั้งสามคูหาให้แก่โจทก์เข้าครอบครองพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาต่อเทศบาลเมืองสมุทรปราการ ยินยอมให้โอนสิทธิ์การเช่าอาคารพิพาทตามฟ้องทั้ง 3 คูหาให้แก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ได้ และให้จำเลยที่ 1 จัดการส่งมอบอาคารพิพาทตามฟ้องแก่โจทก์ หากเป็นการพ้นวิสัยไม่สามารถโอนสิทธิ์การเช่าได้ก็ให้จำเลยที่ 1 คืนเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่การโอนสิทธิ์การเช่า ตกเป็นพ้นวิสัย จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นรายเดือนเป็นเงินเดือนละ3,000 บาทต่ออาคารพิพาท 1 คูหา นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ หรือนับถึงวันการโอนตกเป็นพ้นวิสัยแล้วแต่กรณี ถ้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระในเดือนใด ก็ให้คิดดอกเบี้ยแต่เดือนที่ผิดนัดนั้น ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินที่ผิดนัด จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย คดีสำหรับจำเลยที่ 3ให้ยกฟ้อง คำขออื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาต่อเทศบาลเมืองสมุทรปราการยินยอมให้โอนสิทธิการเช่าอาคารรายพิพาทตามฟ้องทั้งสามคูหาให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท (อันดับ 395)
จำเลยที่ 3 ยื่นคำแก้ฎีกา พร้อมกับยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าคดีนี้พิพาทเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคารห้องพิพาท ซึ่งโจทก์ได้เสียค่าทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาทโจทก์ฎีกาเกี่ยวกับสิทธิดังกล่าวโจทก์จึงควรเสียค่าขึ้นศาลเพราะเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ขอให้สั่งให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าขึ้นศาลก่อน (อันดับ 402)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 3,290,000 บาท เป็นเงิน 82,250 บาท โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาแล้ว 200 บาทจึงให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่อีก82,050 บาท ฯลฯ (อันดับ 409)
ศาลชั้นต้นหมายนัดแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ทนายโจทก์ (อันดับ 408)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 425)
โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลไว้ตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว(อันดับ 409)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลไว้ตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว จึงให้รวมไว้สั่งในคำพิพากษา