คำสั่งคำร้องที่ 426/2530

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดย มิได้กำหนดโทษที่จะลงก่อนลดโทษ เมื่อปรากฏว่าโทษที่ศาลชั้นต้น ลงโทษเท่ากับศาลชั้นต้นได้กำหนดโทษที่จะลงก่อนมีการลดโทษแล้ว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยตลอด ย่อมเป็น ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรที่จะวินิฉัย

ย่อยาว

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 391, 358, 91 จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งฐานทำร้ายร่างกาย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน และฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือน รวมจำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 1ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ให้รอการลงโทษ นั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาข้ออื่นซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายนั้น ไร้สาระ จึงไม่รับจำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งไม่รับฎีกา

ศาลฎีกาสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษที่จะลงก่อนลดโทษนั้น ปรากฏว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษเท่ากับศาลชั้นต้นได้กำหนดโทษที่จะลงก่อนมีการลดโทษแล้ว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ ก็เป็นฎีกาดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง เช่นกัน ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวส่วนฎีกาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 นั้น จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพโดยตลอด เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง”

Share