แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ส่วนข้อหาตามมาตรา 157 และมาตรา 326 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับโจทก์เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ในข้อหาฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและฐานหมิ่นประมาทไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,326,157,83 และมาตรา 91 ฯลฯ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 46)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 48)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 157 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยเบิกความโดยสุจริตในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา329(2) บัญญัติว่า ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328(ที่ถูกน่าจะเป็นมาตรา 326) เมื่อฟังว่าจำเลยเบิกความโดยสุจริตในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ คดีโจทก์ย่อมไม่มีมูล เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วย เช่นนี้จึงเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมายส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทและฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือโดยทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาทและฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ซึ่งแก้ไขแล้ว และตามนัยคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาที่607/2529 ให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป