คำสั่งคำร้องที่ 2547/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้อฎีกาของจำเลยแม้จะฟังได้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของ จำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225,247 ประกอบด้วยมาตรา 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ตามฟ้องนั้นหากศาลฎีกาได้วินิจฉัยในประเด็นนี้แล้วจะมีผล ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ดังนั้นฎีกา ของจำเลยจึงเป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 108)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,358,362,365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,358,362 ประกอบมาตรา 365(2)(3) อันเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,362 ประกอบมาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกจำเลย 4 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 105)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ย่อมผูกพันคู่ความ ในคดีส่วนแพ่งด้วย ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงคาน (1983) ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคสอง ต่อไป

Share