แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษา ที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ข้อความที่ตัดสินไม่ปรากฏว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างไร อันควรสู่ศาลสูงสุด เป็นเพียงดุลพินิจในการลงโทษไม่อนุญาตให้ฎีกา และมีคำสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในประเด็นว่า การที่ จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเพื่อให้พ้นผิดในทางแพ่ง พฤติการณ์ แห่งคดีไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจาก การที่จำเลยชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็เพื่อบรรเทาผลร้ายในทางอาญา และพฤติการณ์แห่งคดีก็เป็นปัญหาสำคัญที่ควรขึ้นสู่ศาลฎีกา เพื่อพิจารณา ขอศาลอุทธรณ์ได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 51)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22,152และมาตรา 43,157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ลงโทษตามมาตรา 22,152 ปรับ 500 บาท และตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 4 ปี ปรับ 500 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี ปรับ 250 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ข้อความ ที่ตัดสินไม่ปรากฏว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างไรอันควรสู่ศาลสูงสุดเป็นเพียงดุลพินิจในการลงโทษ ไม่อนุญาตให้ฎีกาและมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 49,48)
จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่ง ศาลฎีกา (อันดับ 51)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยเห็นว่าข้อฎีกาของจำเลยไม่เป็นปัญหาสำคัญ อันควรสู่ศาลสูงสุดนั้น เป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษาผู้นั้น จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกไม่ได้ ยกคำร้อง