แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่าการกระทำความผิดของจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยประมาณหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 อีกบทหนึ่ง ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 วางโทษจำคุก 4 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 อีกกระทงหนึ่ง ปรับ 600 บาท กรณีเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 600 บาท คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก2 ปี 8 เดือนปรับ400 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 63)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง และเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงมาก และชนผู้ตายอย่างรุนแรง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง