แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับโจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ปัญหาว่าคดีโจทก์มีมูลหรือไม่ โดยอ้างเอกสารในการวินิจฉัยผิดฉบับไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการวินิจฉัยคดีผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน ส่วนข้อ 3 ฎีกาว่าแม้โจทก์มิได้อ้างเอกสารประกอบข้ออ้างแต่จำเลยก็ได้ถามค้านโจทก์และได้อ้างเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาลแล้วจึงเท่ากับเป็นเอกสารที่คู่ความยอมรับกันและเป็นเอกสารที่แสดงถึงระเบียบข้อบังคับโดยชัดแจ้งว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยอธิการบดีเท่านั้นเป็นผู้กำหนดว่าอาจารย์ผู้ใดเป็นผู้สอนวิชาใด การที่ศาลอุทธรณ์ ฟังว่าโจทก์ไม่มีระเบียบดังกล่าวมาแสดง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและในข้อ 4 ฎีกาว่าโจทก์ได้นำสืบแสดงให้ศาลเห็นแล้วว่า ที่ประชุมคณาจารย์ภาควิชาซึ่งจำเลยเข้าร่วมประชุมด้วยได้มีมติให้โจทก์ยุติการสอนทุกวิชามติดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งของจำเลยที่มิชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่ามติดังกล่าวมิใช่คำสั่งของจำเลย และจำเลยก็มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 24แผ่นที่ 2)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 25 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง