แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกาภายใน กำหนดเวลาที่อนุญาต แต่ฎีกาจำเลยไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ที่แก้ไขใหม่ ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 118)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน 58 ตารางวาตั้งอยู่หมู่ที่ 10 ตำบลคำน้ำแซบอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี อาณาเขตตามแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.3
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 111)
ทนายจำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 โจทก์มาโต้แย้งสิทธิในปี พ.ศ. 2531ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยย่อมได้สิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 นั้น เห็นว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายศรีใสวชิระวัชระหรือไตรนทีพิทักษ์ เจ้ามรดกมอบให้จำเลยดูแลแทน กรณีจึงมิใช่จำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ ปัญหาที่ จำเลยฎีกาดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ