แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยเคยยื่นฎีกา และศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกามาครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนฎีกาของจำเลย ฉบับนี้ ในข้อ 2.3 ที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลว่า จะรับฟังพยานหลักฐานใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของ จำเลยในข้อ 2.1 และ 2.2 แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยก็ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลล่างวินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนจากคำพยานหลักฐาน ในท้องสำนวน ส่วนฎีกาข้อ 2.1 และข้อ 2.2 ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกขึ้น อ้างอิงในชั้นฎีกาได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 43)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 5 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 42)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 และ 2.2 มิได้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนฎีกา ข้อ 2.3 ศาลฎีกาตรวจดูแล้วไม่ปรากฏว่า ศาลล่างวินิจฉัยฝ่าฝืน ต่อพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใด เป็นเพียงการใช้ดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้ยกคำร้อง