คำสั่งคำร้องที่ 362/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2533 ถึงปี พ.ศ. 2534 นายประจญเจริญพิทยา ทนายโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์แทนโจทก์และเป็นผู้เรียงอุทธรณ์ ในฐานะทนายโจทก์ ได้ขาดต่อใบอนุญาตให้เป็นทนายความ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบ กระบวนพิจารณา ในชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีผลตามกฎหมาย เท่ากับโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ โปรดสอบถาม คุณสมบัติของทนายโจทก์ในช่วงดังกล่าวจากผู้เกี่ยวข้อง แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาและมีคำสั่ง ใหม่เป็นไม่รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ นายประจญเจริญพิทยา แถลงว่าในปีพ.ศ. 2532 ก่อนที่ใบอนุญาตว่าความจะหมดอายุ ได้ ดำเนินการต่อใบอนุญาตและคิดว่าเรียบร้อยแล้วจึงมิได้ ตรวจสอบความถูกต้องเมื่อได้ทราบเรื่องที่ทนายจำเลยยื่นคำร้อง จึงได้ดำเนินการต่อใบอนุญาตใหม่เป็นตลอดชีพ (อันดับ 89)
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังว่าโจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 8,19,130,136,1566 และ 1572 ตำบลโนนคูณ (เดิมตำบลคอนกาม)อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ แก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายนวล คำนึง ผู้ตาย โดยให้โจทก์ไปดำเนินการโอนหรือเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ทุกฉบับจากชื่อนายสีดา คำนึง เป็นชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายนวล คำนึง ผู้ตายภายใน1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กำจัดโจทก์มิให้ได้ รับมรดกทั้งหมดของนายนวล คำนึง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยแต่งให้นายสมพงษ์ แสวงผล เป็นทนายความดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์ในชั้นฎีกา (อันดับ 68 แผ่นที่ 3,67 แผ่นที่ 4)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 71) ศาลชั้นต้นนัดสอบถามนายประจญเจริญพิทยาทนายโจทก์และนายสุรกิจโรจนวรเกียรติในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสภาทนายความจังหวัดศรีสะเกษในปี พ.ศ. 2533 ถึงต้นปี พ.ศ. 2535 ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 แล้วมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 89)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามใบแต่งทนายความลง วันที่ 19 ตุลาคม 2532 ที่โจทก์แต่งให้นายประจญเจริญพิทยาเป็นทนายความว่าต่างคดีนี้ ในข้อความขอรับเป็นทนายความปรากฏว่านายประจญเจริญพิทยา ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความเมื่อ พ.ศ. 2529 ตามใบอนุญาต ที่ 6676/2529 ซึ่งใบอนุญาตมีอายุใช้ได้เป็นเวลาสองปี นับแต่วันออกใบอนุญาต ตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 39 วรรคแรก ฉะนั้นใบอนุญาตเป็นทนายความ ของนายประจญเจริญพิทยา จึงสิ้นอายุเมื่อ พ.ศ. 2531 และยังได้ความจากนายสุรกิจโรจนวรเกียรติ ประธานคณะอนุกรรมการทนายความจังหวัดศรีสะเกษว่า ตนได้รับ คำร้องขอต่อใบอนุญาตทนายความของนายประจญเจริญพิทยา เมื่อปลายปี 2534 จึงมอบหมายให้นายวันดี แซ่จึง ไปดำเนินการแต่ปรากฏว่าสภาทนายความไม่รับการต่อใบอนุญาตของ นายประจญเจริญพิทยา เนื่องจากใบอนุญาตขาดช่วงไปไม่ติดต่อกันถึงปี พ.ศ. 2535 ดังนั้นขณะที่นายประจญเจริญพิทยา เข้าว่าต่างคดีให้โจทก์ในปี 2532 จึงเป็นผู้ที่ขาดจากการ เป็นทนายความต้องห้ามมิให้ทำการเป็นทนายความว่าความใน ศาลหรือแต่งคำฟ้อง คำให้การ คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา ฯลฯ ตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาแต่แรก แม้ต่อมานายประจญเจริญพิทยา จะได้จดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความประเภทตลอดชีพ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2535 ตามใบอนุญาตเลขที่ 102/2535 แต่ขณะที่ นายประจญเจริญพิทยาว่าต่างคดีให้โจทก์ได้ขาดจากการเป็นทนายความแล้ว ย่อมไม่มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณา ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ เมื่อกระบวนพิจารณาที่ผ่านมา ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์

Share