คำสั่งคำร้องที่ 2804/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะคดีอาญาเลิกกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3) ซึ่งมีผลเท่ากับศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ยกฟ้องของโจทก์ด้วย ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะจำเลยที่ 2 วางเงินเพื่อชำระตามเช็ค และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน โดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ถือไม่ได้ว่า เป็นการพิพากษายกฟ้อง ฎีกาโจทก์ไม่ต้องห้าม โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอวางเงินจำนวน 355,708.66 บาท เพื่อชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์ และขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 116) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องศาลชั้นต้น สั่งจำหน่ายคดีโดยฟังว่าสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3) เพราะจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ดังนี้หาใช่กรณีที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ไม่ จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 220 มาปรับแก่กรณีหาได้ไม่ จึงให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

Share