แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกิน 200,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 59,875 บาท จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาที่จำเลยฎีกามานั้นล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และในกรณีนี้มิได้มีประเด็นว่าจำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมาย ของเจ้ามรดกหรือไม่ และโจทก์มิได้โต้แย้ง หรือนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นสามี และเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทร่วมกับเจ้ามรดก เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤศจิกายน 2534) จนกว่าจำเลย จะออกจากบ้านพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 9) จำเลยจึงยื่น คำร้องนี้ (อันดับ 91)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ข้ออ้างว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกา ในข้อกฎหมายนั้น แต่ตามฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ