แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของที่ดินมือเปล่าได้อุทิศที่ดินให้แก่กระทรวงศึกษาธิการเพื่อใช้เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนแล้ว เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินนั้นได้สละเจตนาครอบครองแล้วการครอบครองย่อมสิ้นสุดลงหมดสิทธิในที่ดินนั้นต่อไป ไม่มีทางจะเอาคืนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้จับจองได้รับใบเหยียบย่ำและครอบครองเป็นเจ้าของที่รายพิพาทมา 30 ปีเศษ เมื่อ พ.ศ. 2495 โจทก์จะขายที่พิพาท จำเลยคัดค้าน จึงขอให้ห้ามอย่าให้จำเลยขัดขวาง
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้สละที่รายพิพาทให้ทางราชการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อใช้เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 และทางราชการได้ครอบครองมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว กับตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความบางประการแล้วงดสืบพยานวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องซ้ำ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปด้วยว่าโจทก์ได้สละการครอบครองให้กระทรวงศึกษาธิการมากว่า 10 ปีแล้ว หมดสิทธิจะได้คืน และยังมีความเห็นต่อไปด้วยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะได้คัดค้านในฐานะเป็นตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่คงวินิจฉัยข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันและพิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความรับกันว่าโจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้กระทรวงศึกษาแล้วตามเอกสารหมาย ล.1 ที่พิพาทโจทก์มีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์สละแล้วการครอบครองของโจทก์ก็สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 ไม่มีทางจะเอาคืนได้พิพากษายืน