คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ได้ซื้อมาจากจำเลย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทไว้แก่โจทก์โดยทำสัญญาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายดังนี้ หาเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรากฐานแห่งสิทธิต่างจากความจริงแห่งกรณีอย่างใดไม่
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ฉ้อฉล เมื่อไม่สืบพยานจำเลยก็ต้องแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและเรือนเป็นของโจทก์โดยซื้อจากจำเลยแล้ว จำเลยได้ขออาศัยอยู่ตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์ได้บอกให้จำเลยออกไปแล้วหลายครั้ง จำเลยไม่ยอมออก จำเลยให้การว่าไม่ได้ขายที่ดิน และไม่ได้อาศัยโจทก์อยู่ ความจริงโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยทำนิติกรรมจำนอง หรือขายฝากที่พิพาทต่อโจทก์ คู่ความรับกันว่า จำเลยได้เอาที่ดินและโรงเรือนขายฝากไว้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ส่งศาล แล้วโจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยอยู่ในที่ดินตลอดมา คู่ความไม่ติดใจสืบพยานศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายขาดที่ดินให้โจทก์แต่คู่ความรับกันว่า จำเลยขายฝาก ฟ้องโจทก์จึงจะไม่ตรงกับความจริง พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยออกจากที่พิพาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การซื้อฝาก ก็คือการรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมาเป็นของตนเช่นเดียวกัน หากแต่เป็นการซื้อขายชนิดหนึ่งเท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินเป็นของโจทก์โดยได้ซื้อมาจากจำเลย จึงหาเป็นการบรรยายฟ้องข้อเท็จจริง อันเป็นรากฐานแห่งสิทธิต่างจากความจริงแห่งกรณีอย่างใดไม่ เมื่อที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และจำเลยแถลงรับว่าที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทเพราะ โจทก์ยินยอมอนุญาตให้อยู่ ประเด็นจึงคงเหลือตามข้อต่อสู้ของจำเลย ในข้อที่ว่า โจทก์ได้ทำกลฉ้อฉลเอาแก่จำเลยเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดี

พิพากษายืน

Share