แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นสองฐาน คือฐานปล้นทรัพย์หรือฐานรับของโจร ขอให้ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจรเต็มตามฟ้องแล้ว โจทก์จะขอให้พิจารณาความผิดฐานปล้นทรัพย์อีกไม่ได้ ศาลย่อมสั่งงดสืบพยานและพิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ทีเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นสองฐาน คือฐานปล้นทรัพย์หรือฐานรับของโจรขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301, 321, 322
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
โจทก์ขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งงด แล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร จำคุก 4 เดือน ลดฐานรับสารภาพกึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 คงจำคุก 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการบรรยายถึงพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งในความผิดฐานปล้นทรัพย์และฐานรับของโจรก่อน แล้วจึงยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพเต็มตามฟ้องโจทก์ในความผิดฐานรับของโจรแล้วเช่นนี้โจทก์จะขอให้พิจารณาความผิดฐานปล้นทรัพย์อีกให้กลายเป็น ความผิดสองฐานย่อมไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นต้องประกอบด้วยการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปด้วยอาการชิงทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ก็ดีฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คงพิพากษายืน