แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เอาที่ดิน(มีโฉนดแต่ยังเป็นชื่อคนอื่น ยังไม่ได้โอน) ของโจทก์ยกให้บิดาจำเลยเป็นการตีใช้หนี้เงินกู้ บิดาจำเลยก็รับชำระและยึดถือครอบครองที่ดินนั้นมาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ ฝ่ายจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ที่พิพาทในทางครอบครอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่พิพาทคืนได้
ย่อยาว
เดิมโจทก์ถูกบิดาจำเลยฟ้องเรื่องผิดสัญญากู้เงินแล้วทำสัญญายอมและตกลงกันโดยโจทก์เอาที่ดิน 2 แปลงชำระหนี้แก่บิดาจำเลยแต่ปรากฏว่าที่ดิน 2 แปลงนั้นเป็นที่ดินมีโฉนด มีชื่อคนอื่นเป็นเจ้าของ โจทก์จึงแถลงต่อศาลว่าจะไปจัดการโอนที่ดิน 2 แปลงนั้นมาเป็นของโจทก์ก่อน เพราะโจทก์อ้างว่า ได้ซื้อที่ 2 แปลงนั้นจากผู้มีชื่อในโฉนดมาและได้ครอบครองมาช้านานแล้ว โจทก์จะโอนโฉนดให้บิดาจำเลยต่อไป แต่แล้วก็หาได้จัดการให้ลุล่วงไปไม่ฝ่ายจำเลยคงครอบครองตลอดมา
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยอ้างว่า บิดาจำเลยยอมให้โจทก์ชำระหนี้รายนี้เป็นเงิน ส่วนที่ดิน 2 แปลงนั้นตกลงคืนแก่โจทก์บิดาจำเลยตาย จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินโจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืน
จำเลยต่อสู้ว่า บิดาจำเลยไม่เคยตกลงรับชำระหนี้ใหม่เป็นเงินฝ่ายจำเลยครอบครองที่มากว่า 10 ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์เอาที่พิพาทตีใช้หนี้แก่บิดาจำเลยจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของเรื่อยมาได้กรรมสิทธิ์ในทางครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาท 2 แปลงนี้เป็นของโจทก์ยกให้บิดาจำเลยเป็นการตีใช้หนี้เงินกู้ และบิดาจำเลยก็ตกลงรับชำระหนี้และยึดถือครอบครองที่นั้นมาจนถึงวันฟ้องเกิน 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่พิพาทคืนได้ ศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน