แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รับซื้อลวดไฟฟ้าที่ถูกลักตัดไปจากถนนไว้ในเวลาวิกาลแล้วรีบจัดการเผาคลายเกลียวซุกซ่อนไว้เวลาเจ้าพนักงานค้นพบลวดของกลางได้ สอบถามก็ปกปิดความจริงแสดงว่าได้ซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่ถูกลักมา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2495 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2495 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ได้มีคนร้ายสมคบกันลักตัดเอาสายไฟฟ้าทองแดงซึ่งขึงอยู่ตามถนนวิทยุ ยาว 80 เมตร ราคา 800 บาทของการไฟฟ้ากรุงเทพฯ ซึ่งองค์การนี้อยู่ในความควบคุมของกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย ซึ่งทรัพย์ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของนายพจนา สาคริก นายตรวจการไฟฟ้ากรุงเทพฯ เหตุเกิดที่ตำบลลุมพินี อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร
ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2495 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยนี้พร้อมด้วยสายไฟฟ้าทองแดงทั้งหมดของการไฟฟ้ากรุงเทพฯ ซึ่งถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้โดยระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2495 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2495 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจรับสายไฟฟ้าทองแดงของกลางดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลวังบูรพาอำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321
จำเลยให้การปฏิเสธ
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2495 เวลา 2 ยามเศษ นายพจนานายตรวจสายไฟฟ้าขององค์การไฟฟ้าได้ตรวจพบสายไฟฟ้าซึ่งขึงอยู่ที่หน้ากองสัญญาณทหารเรือตำบลศาลาแดงถูกคนร้ายตัดเอาไป 2 ช่องเสา ยาว 80 เมตรเป็นสายไฟสำหรับจ่ายไฟฟ้าสาธารณะตามถนนหลวง เป็นลวดทองแดงหน้าโต 50 ตารางมิลลิเมตร รุ่งขึ้นวันที่ 23 นายพจนาจึงไปแจ้งความไว้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจลุมพินี
โจทก์มีนายเจือคนถีบรถจักรยานสามล้อเป็นพยานว่า เมื่อเวลา 3 น. ของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2493 ได้มีพลทหารบกประจำที่กองสัญญาณ 2 คน คนหนึ่งชื่อเชื่อม คนหนึ่งไม่ทราบชื่อ ได้ว่าจ้างบรรทุกสายไฟฟ้า 2 ขด ที่ตรงหน้ากองสัญญาณทหารเรือ แล้วคนที่ไม่รู้จักชื่อนั่งบนรถ พลฯ เชื่อมเดิมตามหลังคนทั้งสองให้พยานถีบรถไปจนถึงริมคลองหลังวัดสุทัศน์ เลี้ยวเข้าไปจอดหน้าตึกแถวห้องหนึ่งคนทั้งสองเรียกคนในห้อง ก็มีคนมาเปิดประตู คนทั้งสองก็ยกสายไฟฟ้าเข้าไปในห้องนั้น แล้วคนทั้งสองพาพยานไปกินกาแฟห่างห้องนั้นสัก1 เส้นเศษเวลานั้นเป็นเวลาราว 4 น. กินกาแฟแล้วก็กลับไปที่ห้องนั้นอีก เป็นเวลาสว่างพอดี คนทั้งสองเข้าไปในห้องราว 10 นาที ก็ขึ้นรถของพยานกลับมาสี่แยกวิทยุ รุ่งขึ้นนายร้อยตำรวจตรีสามารถไปถามพยานในเรื่องนี้ พยานก็แจ้งให้ทราบ แล้วนายร้อยตำรวจตรีสามารถให้พยานพาไปที่ห้องที่เอาสายไฟฟ้าไปส่ง
ได้ความจากนายร้อยตำรวจตรีสามารถว่า เมื่อทางสถานีตำรวจรับแจ้งความจากนายพจนาแล้ว พยานได้สืบทราบจากสายลับว่ามีคนเห็นเอาสายไฟฟ้าขึ้นรถสามล้อของนายเจือ จึงได้ไปสอบถามนายเจือเมื่อทราบจากนายเจือจึงให้นายเจือนำไปยังตึกแถวที่เอาสายไฟฟ้าไปส่งได้ความว่าเป็นห้องของจำเลย ขณะนั้นเป็นเวลา 13 น.เศษพยานบอกจำเลยว่าจะขอค้นลวดทองแดงสายไฟฟ้า จำเลยก็ยอมให้ค้นตรวจดูที่ชั้นล่าง พบลวดทองแดงสายไฟฟ้า (แต่ไม่ใช่ของกลางคดีนี้) พยานถามจำเลยว่าสายไฟนอกจากที่พบนี้แล้วยังมีที่ไหนอีก จำเลยตอบว่าไม่มีพยานขึ้นไปตรวจค้นชั้นบนพบลวดทองแดง 14 ขดของกลางรายนี้กองอยู่มุมห้อง มีกระสอบปิดมิด ถ้าไม่เปิดก็ไม่เห็น ถามจำเลยจำเลยว่าลวดนี้มีผู้เอามาจ้างรีด แต่ไม่สามารถบอกตัวผู้จ้าง จึงได้ยึดลวดทั้ง 14 ขดนั้นมา ในวันนั้นเองเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกนายพจนามาดูลวดของกลาง นายพจนายืนยันว่าคือลวดสายไฟฟ้าขององค์การไฟฟ้ากรุงเทพฯ ที่หายไป แต่ขณะจับได้นี้ได้ถูกคลายเกลียวออกหมดถ้าเอารวมกันเข้า 7 เส้นแล้วตีเกลียวตามเดิมก็จะได้สายไฟฟ้าเท่ากับที่หายไป
จำเลยนำสืบว่า สายไฟฟ้าลวดทองแดงของกลางนี้มีชายคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่าประเสริฐนำมาขายให้จำเลยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2495 เวลาราว 7 น. ผู้ขายได้ออกใบรับให้ด้วยซื้อแล้วลูกจ้างของจำเลยก็เอาลวดนี้เผาและคลายเกลียวพร้อมกับลวดอื่น ๆ ที่มีผู้เอามาจ้างรีดโดยร้านจำเลยรับจ้างรีดลวดต่าง ๆ การที่เอาลวดของกลางไปไว้ชั้นบนก็เพื่อไม่ให้เกะกะ และไม่มีอะไรปกปิด
ศาลชั้นต้นฟังว่าลวดของกลางนี้เป็นของเจ้าทรัพย์จริง แต่ในข้อที่จำเลยได้รับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดียังเป็นที่สงสัยอยู่ ควรยกประโยชน์ให้จำเลยจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ลวดทองแดงของกลางให้คืนเจ้าทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง จึงพิพากษาว่าจำเลยมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ให้จำคุก 3 เดือนที่ศาลอาญาสั่งคืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์ชอบแล้ว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังคำแถลงตรวจปรึกษาแล้ว ในข้อที่ว่าลวดสายไฟฟ้าของกลางในคดีนี้จะใช่ของการไฟฟ้ากรุงเทพฯ เจ้าทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายลักมาหรือไม่นั้น โจทก์มีนายพจนานายตรวจการไฟฟ้ากรุงเทพฯ ให้การยืนยันอยู่ดังกล่าวมา แม้ตัวจำเลยก็ให้การรับว่าลวดรับซื้อที่เป็นลวดชนิดขวั้นด้วยลวดทองแดง 7 เส้นรวม 2 ขด สมกับคำนายพจนาประกอบกับคำนายเจือที่ว่ารับจ้างบรรทุกจากหน้ากองสัญญาณ ซึ่งเป็นที่ ๆ สายไฟฟ้าถูกลักตัดด้วยแล้ว คดีฟังได้ว่าลวดสายไฟฟ้าของกลางเป็นของเจ้าทรัพย์ซึ่งถูกคนร้ายลักมาจริง
ข้อพิจารณาต่อไปมีว่าจำเลยจะรับซื้อลวดไฟฟ้าของกลางรายนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่ ข้อนี้แม้โจทก์จะมีคำนายเจือปากเดียวรู้เห็นขณะเอาลวดนี้ไปที่ห้องของจำเลยก็ดี แต่โจทก์ก็มีคำนายร้อยตำรวจตรีสามารถประกอบ ตลอดจนไปได้ลวดของกลางที่ห้องจำเลย และพยานโจทก์นี้ไม่มีสาเหตุอะไรกับจำเลยจึงมีน้ำหนักควรเชื่อฟัง ที่จำเลยสืบว่าจำเลยรับซื้อลวดนี้จากนายประเสริฐตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2495 นั้น คงมีแต่ตัวจำเลยและนายสัมฤทธิ์ลูกจ้างเท่านั้น นายประเสริฐที่อ้างว่าเป็นผู้ขายก็ไม่ได้มาสืบใบเสร็จที่อ้างมาจำเลยอาจทำขึ้นได้ง่าย ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้อ้างใบเสร็จนี้ อนึ่ง ปรากฏตามคำนายร้อยตำรวจตรีสามารถว่าจำเลยอ้างว่าลวดนี้มีผู้มาจ้างรีดและก็ไม่สามารถบอกตัวผู้จ้างได้พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ พฤติการณ์ที่จำเลยรับซื้อลวดไฟฟ้าของกลาวไว้ในเวลาวิกาล ซื้อแล้วก็รีบจัดการเผาคลายเกลียวและยังเอาไปซุกซ่อนปกปิดไว้ต่างหากจากลวดอื่น ๆ เจ้าพนักงานสอบถามก็ไม่บอกความจริงกลับว่าไม่มีลวดอื่นอีก เหตุพิรุธต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบกันพอให้ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อลวดไฟฟ้าของกลางนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน