แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้เรือขุด ขุดแร่ทำให้น้ำขุ่นข้นมูลดินมูลทรายไหลเข้านาโจทก์ เพราะทำนบกั้นน้ำพังนั้น เพียงแต่ทำนบกั้นน้ำพัง ไม่ใช่เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ แต่การละเมิดสิทธิเกิดขึ้นเมื่อน้ำไหลพามูลดินทรายเข้าที่นาโจทก์ ทำให้โจทก์ทำนาไม่ได้ ฉะนั้นอายุความจึงตั้งต้นแต่น้ำเข้านาโจทก์หาใช่ตั้งแต่ทำนบพังไม่
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในการที่จำเลยเดินเรือขุดแร่ทำให้น้ำขุ่นข้นมูลดินทรายไหลเข้านาโจทก์จนโจทก์ทำนาไม่ได้ในปี พ.ศ.2492เป็นเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยยังคงไม่ปิดทำนบกั้นน้ำ และยังคงใช้เรือขุดแร่ ขุดต่อมาใน พ.ศ.2493โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในการทำนาในพ.ศ.2493ได้อีกต่างหากไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะเป็นการละเมิดใหม่ต่างหากจากที่ฟ้องคราวก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้เรือขุด ขุดแร่ต้น พ.ศ. 2492 ทำให้น้ำขุ่นข้นปนมูลดิน มูลทรายไหลจากเขตประทานบัตรของจำเลย เข้าไปในที่ดินนาของโจทก์จำเลยได้ทำทำนบปิดกั้นไว้แต่ไม่แข็งแรง ทำนบจึงพัง จำเลยมิได้จัดการซ่อม โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,500 บาท คดีอยู่ในระหว่างฎีกามาใน พ.ศ. 2493 จำเลยก็ไม่จัดปิดกั้นทำนบ โจทก์จึงทำนาในพ.ศ. 2493 ไม่ได้อีก จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอีก 2,500 บาทกับให้จำเลยปิดกั้นทำนบเสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 2,500 บาทกับให้ปิดกั้นทำนบอย่าให้น้ำขุ่นข้นเจือปนมูลดินทราบ เข้าท่วมนาของโจทก์ต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์และโจทก์ทำนาไม่ได้ เพราะการเดินเรือขุดทำให้น้ำไหลบ่าเข้าไปในนาของโจทก์ จนทำนาไม่ได้
ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า ขาดอายุความเพราะมาฟ้องหลังทำนบพัง 2 ปีเศษนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่ทำนบพังไม่ใช่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ แต่การละเมิดสิทธิเกิดขึ้นเมื่อน้ำไหล พามูลดินทรายเข้าไปในที่นาของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำนาไม่ได้ต่างหากต้องคำนวณอายุความตั้งแต่นั้นมา หาใช่ตั้งแต่ทำนบพังไม่ และไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะการละเมิดใหม่ต่างหากจากที่ฟ้องคราวก่อน จึงพิพากษายืน