คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7024/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น ขอให้ห้ามจำเลยปิดกั้นหรือทำลายทางพิพาทเพื่อให้โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยปิดกั้นและทำลายทางพิพาทและให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทำของจำเลยจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2)เมื่อศาลชั้นต้นพอใจว่า คำฟ้องมีมูลและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้แล้ว จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ จำเลยจะต้องโต้เถียงว่า วิธีการที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวมาใช้หรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นที่ศาลจะมีคำสั่งต่อไปตามมาตรา 261 วรรคสาม การที่จำเลยอุทธรณ์ยกเหตุโต้เถียงเพียงว่า ทางพิพาทไม่เคยมีมาก่อน หรือทางพิพาทกว้างประมาณ 3 วา และยาวประมาณ 15 วา นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไปในชั้นพิจารณา ไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องชี้ขาดในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทซึ่งเป็นทางเดินและทางเดินรถยนต์ในที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น และทางน้ำในที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางจำเป็น ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมหรือทางจำเป็น และยินยอมให้โจทก์ทั้งสองวางท่อน้ำโดยรับเงินค่าทดแทน 10,000 บาท ห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นหรือทำลายทางพิพาท หากไม่ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

ก่อนจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวว่า จำเลยทั้งสองปิดกั้นและทำลายทางพิพาทขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นและทำลายทางพิพาท กับทำทางพิพาทให้มีสภาพเดิม ให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทหรือวางท่อน้ำเป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษา ห้ามจำเลยทั้งสองขัดขวางการใช้ทางพิพาท

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นทำลาย หรือมิให้ห้ามโจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาท และให้จำเลยทั้งสองทำทางพิพาทให้มีสภาพเดิม กว้างประมาณ 5 วา ยาวประมาณ 160 วา ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.6 ส่วนคำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นชั้นวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นหรือทำลายทางพิพาทเพื่อให้โจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองด้วย การที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นและทำลายทางพิพาทและให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทเป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์ทั้งสองอาจได้รับต่อไป เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสองจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) เมื่อศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องแล้วเป็นที่พอใจว่า คำฟ้องมีมูลและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 นั้นแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของโจทก์ทั้งสอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่มีทางอื่นใดออกสู่ทางสาธารณประโยชน์นอกจากทางพิพาท และมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้น ทำลายหรือห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาท และให้จำเลยทั้งสองทำทางพิพาทให้มีสภาพเดิมกว้างประมาณ 5 วา ยาวประมาณ 160 วา ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.6 ดังนี้ เห็นว่าเมื่อจำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์ขอให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นให้ยกคำร้องของโจทก์ จำเลยทั้งสองจะต้องโต้เถียงว่า วิธีการที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวมาใช้หรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นที่ศาลจะมีคำสั่งต่อไป ตามมาตรา 261 วรรคสาม เมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้ว และอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองยกเหตุโต้เถียงเพียงว่า ทางพิพาทไม่เคยมีมาก่อนก็ดี หรือทางพิพาทกว้างประมาณ 3 วา และยาวประมาณ 15 วา เท่านั้น ซึ่งปัญหาว่าทางพิพาทกว้างยาวเพียงใด และมีทางพิพาทหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไปในชั้นพิจารณา ไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องชี้ขาดในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาแต่อย่างใด ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นได้ และพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share