แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 รู้เห็นและยินยอมให้จำเลยที่ 2 มารดาเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ฝ่ายผู้จะซื้อแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญา แต่การแสดงออกดังกล่าวเป็นการเชิดให้จำเลยที่ 2 ออกเป็นตัวแทนหรือยินยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันต่อโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 และการนำสืบว่าจำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็หาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 ไม่ ทั้งหาใช่เป็นการนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาจะซื้อขายอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ไม่ เพราะเป็นแต่เพียงการนำสืบความจริงว่าจำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนเข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2533 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาจะซื้อขายทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 13026 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ในราคาไร่ละ 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยตกลงว่าจำเลยทั้งสามจะไปจดทะเบียนรับโอนมรดกแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ภายหลัง โจทก์วางมัดจำให้จำเลยทั้งสามไว้เป็นเงิน 45,000บาท ในวันเดียวกันจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงขายที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 5 ไร่ ตั้งอยู่ติดกับที่ดินแปลงแรกในราคา 50,000 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์วางมัดจำไว้เป็นเงิน 10,000 บาทต่อมาจำเลยทั้งสี่ผิดนัดไม่ไปรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอน และไม่ส่งมอบการครอบครองที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ จึงขอคิดค่าเสียหายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นเงิน90,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเงิน 30,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 13026 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ตามตำแหน่งในรูปที่ดินตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 รับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน105,000 บาท หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ชำระค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ส่งมอบการครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 5 ไร่ ตามฟ้องพร้อมรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน40,000 บาท จากโจทก์ และชำระค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่นายสดอุ่นธรรม สามีจำเลยที่ 2 ทำพินัยกรรมให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์บางส่วน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ตกลงยินยอม และไม่มีอำนาจจะทำได้ตามสัญญาไม่กำหนดวันจดทะเบียนโอน จึงตกเป็นโมฆะส่วนที่ดินมือเปล่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงขายไร่ละ 40,000 บาท แต่โจทก์เขียนสัญญาผิด จำเลยทั้งสี่ติดต่อให้โจทก์แก้ไขแต่โจทก์เพิกเฉย สัญญาทั้งสองฉบับจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสี่ค่าเสียหายอย่างมากไม่เกินสัญญาละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 13026 ตำบลเขาพระอำเภอเมืองนครนายก เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ตามตำแหน่งในรูปแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 105,000 บาท หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 จะชำระเงินเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1ต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดตามเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่ ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ที่ดินที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.2 เนื้อที่จำนวน 1 ไร่ 2 งาน เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีชื่อนายสด อุ่นธรรม สามีจำเลยที่ 2 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 1และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ครั้นนายสดถึงแก่กรรมเมื่อปี 2530 แล้วจำเลยที่ 2 ผู้เป็นมารดาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินมีโฉนดตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีที่ดินพิพาทและที่ดินแปลงอื่นรวมอยู่ด้วย จนกระทั่งวันที่ 1 สิงหาคม 2533 และวันที่ 6สิงหาคม 2533 ขณะจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.2 กับโจทก์ มีจำเลยที่ 1 และที่ 3 อยู่ด้วย ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ต้องตกแก่ทายาทโดยธรรมของนายสดเจ้ามรดก ขณะนายสดถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ในฐานะภรรยาและบุตรจำนวน 7 คน ซึ่งมีจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย เป็นทายาทโดยธรรมของนายสดเจ้ามรดกมีส่วนในที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทรวมทั้งที่ดินแปลงอื่นของนายสดเจ้ามรดกยังมิได้แบ่งปันกันในระหว่างทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดก แต่ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 และบุตรคนอื่นอีก 5 คน ครอบครองแทน ขณะที่นายรักษ์นายหน้าขายที่ดินนำโจทก์มาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็อยู่ด้วยขณะที่จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นผู้จะขายและโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้จะซื้อในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 และ จ.6 โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 นอกจากขณะทำสัญญาดังกล่าวจะอยู่ด้วยแล้วยังได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.6 และอ่านข้อความในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 นอกจากนี้โจทก์และนายรักษ์พยานโจทก์ยังเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินมัดจำซื้อที่ดินพิพาทจำนวน 45,000 บาท จากโจทก์ด้วย พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 รู้เห็นและยินยอมให้จำเลยที่ 2 มารดาเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้จะขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ฝ่ายผู้จะซื้อ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาในฐานะคู่สัญญาฝ่ายผู้จะขายที่ดินพิพาทก็ตาม แต่การแสดงออกของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวเป็นการเชิดให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นมารดาและผู้ครอบครองที่ดินพิพาทออกเป็นตัวแทนหรือยินยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทอันจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันต่อโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 และการที่จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์ก็หาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 ไม่ ทั้งการที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 หาใช่เป็นการนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ไม่ เพราะการนำสืบพยานบุคคลของโจทก์เป็นแต่เพียงนำสืบความจริงว่า จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนเข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์ดังเท่านั้น ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้คัดค้านการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าขณะนายสดบิดาถึงแก่กรรมมีการทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไว้ จึงไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทบิดาจะยกให้แก่ผู้ใดก็ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่า พินัยกรรมของบิดาจำเลยที่ 1 ดังกล่าวตกเป็นโมฆะ จึงมีผลว่าขณะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น จำเลยที่ 1 มีส่วนถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอยู่ด้วยในฐานะทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกผู้เป็นบิดาดังนั้นเมื่อต่อมาภายหลังการแบ่งปันมรดกกันในระหว่างทายาทโดยธรรมแล้วจำเลยที่ 1ได้รับส่วนแบ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.2 โอนขายให้แก่โจทก์ สำหรับที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2ไม่มีข้อความว่า คู่สัญญาจะไปทำสัญญาซื้อขายโอนที่ดินกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ไหนเมื่อใด สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความว่า คู่สัญญาตกลงโอนกรรมสิทธิ์เมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครนายกได้ทำการแบ่งแยกเรียบร้อยเป็นที่เข้าใจได้ว่ามีการกำหนดเงื่อนไขการโอนทางทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดนครนายก เมื่อมีการแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกจากที่ดินแปลงใหม่ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 แล้ว หาใช่คู่สัญญามีเจตนาไม่ทำการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียน และถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ส่งมอบการครอบครองที่ดินมือเปล่าจำนวน 5 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังทางทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 13026 ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ตามตำแหน่งในรูปแผนที่ดินเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 ให้แก่โจทก์ และใช้ค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินที่เหลือจำนวน 40,000 บาท จากโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”