แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยผู้ซื้อได้มีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ผู้ขายขอคืนผ้าแต่โจทก์ไม่ได้ทำคำสนองรับเพียงแต่โจทก์ให้จำเลยช่วยขายผ้าให้บุคคลอื่น โจทก์จะรับผ้าคืนก็ต่อเมื่อมีบุคคลหรือลูกค้าอื่นรับซื้อผ้าไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อโจทก์ขายผ้าได้บางส่วนจึงให้พนักงานของโจทก์มารับผ้าไปจากจำเลย ก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์รับคืนผ้าทั้งหมดเพียงแต่ตกลงกันว่าโจทก์จะรับผ้าไปเมื่อขายผ้าได้บางส่วนเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ช่วยจำเลยขายผ้าส่วนที่เหลือ ไม่ได้ตกลงยินยอมรับคืนผ้า จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าผ้าที่เหลือให้แก่โจทก์
การที่จำเลยไม่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้เนื่องจากบริษัท ธ. ผู้ซื้อผ้าจากจำเลยมีปัญหาทางการเงินไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่จำเลย ก็เป็นเรื่องการประกอบธุรกิจการค้าประสบปัญหากำไรหรือขาดทุนอันเป็นปกติทางการค้าย่อมเกิดขึ้นได้เสมอไม่อาจถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสั่งซื้อผ้า จำนวน 806,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยยอมรับผิดชำระราคา 192,360 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 806,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 ตุลาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 792,381 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์จำนวน 9,800 หลา ราคา 1,106,380 บาท จำเลยชำระเงินมัดจำให้แก่โจทก์200,000 บาท โจทก์ส่งผ้าให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ชำระเงินแก่โจทก์ครบถ้วนมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระราคาผ้าให้แก่โจทก์เพียงใดจำเลยมีนางสาวรุ่งอรุณ วงศ์พรหมกัลป์ พนักงานบริษัทของจำเลยเบิกความว่า จำเลยมีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ขอคืนผ้า แต่โจทก์ให้จำเลยช่วยขายผ้าให้บุคคลอื่น โจทก์จะรับผ้าคืนก็ต่อเมื่อมีบุคคลหรือลูกค้าอื่นรับซื้อผ้าไว้เท่านั้น ต่อมาโจทก์รับผ้าคืนไป 124 หลาเงินที่ขายได้โจทก์เก็บเงินไป จากนั้นจำเลยยังชำระเงินให้แก่โจทก์อีก 100,000 บาท นายจุลภัทร พรประสิทธิ์ เบิกความว่า โจทก์และจำเลยตกลงกันว่าจะช่วยขายผ้าส่วนที่เหลือ เมื่อขายผ้าได้แล้วจะให้เงินแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ขายผ้าได้บางส่วนจึงให้พนักงานของโจทก์มารับผ้าไปจากจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าโจทก์รับคืนผ้าทั้งหมดเพียงแต่ตกลงกันว่าโจทก์จะมารับผ้าไปเมื่อขายผ้าได้บางส่วนเท่านั้น เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นเพียงการทำคำเสนอขอคืนผ้าเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำคำสนองรับแต่อย่างใด แต่กลับได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ช่วยจำเลยขายผ้าส่วนที่เหลือซึ่งเป็นจำนวนเล็กน้อย หลังจากที่โจทก์นำผ้าไปขายแล้ว จำเลยยังชำระเงินค่าผ้าให้แก่โจทก์อีก 100,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ช่วยจำเลยขายผ้าเท่านั้นไม่ได้ตกลงยินยอมรับคืนผ้าตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าผ้าที่เหลือหลังจากหักเงินค่าผ้าที่โจทก์นำไปขายจำนวน 128 หลา เป็นเงิน 13,999 บาท แล้วคงเหลือเงินที่ต้องชำระจำนวน 792,381บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่าการที่จำเลยไม่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้เพราะบริษัทธนินีจำกัด ผู้ซื้อผ้าจากจำเลยอีกทอดมีปัญหาทางการเงินไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่จำเลยเป็นเหตุสุดวิสัยทำให้จำเลยหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า เหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 หมายถึง เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นหรือจะให้ผลพิบัติไม่มีใครอาจป้องกันได้ แต่กรณีของจำเลยเป็นเรื่องการประกอบธุรกิจการค้าการประสบปัญหากำไรหรือขาดทุนอันเป็นปกติทางการค้าย่อมเกิดขึ้นได้เสมอกรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของบริษัทธนินี จำกัด นั้นเห็นว่า เมื่อปัญหาดังกล่าวจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อีกทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน