คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2721/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวขนาด 12 ยิงผู้เสียหายในระยะอยู่ห่างกันประมาณ7 วา ซึ่งโดยปกติย่อมมีความรุนแรงมากทั้งกระสุนปืนกระจายออกเป็นวง โอกาสที่จะยิงพลาดเป้าหมายในระยะดังกล่าวแทบไม่มี เมื่อเสื้อที่ผู้เสียหายสวมใส่ในขณะถูกยิงมีรอยกระสุน 5 แห่ง เป็นกลุ่ม แต่ละรอยห่างกันประมาณ 1 ถึง 2 นิ้ว ไม่มีรอยใดเป็นรูทะลุเสื้อ เพียงปรากฏเป็นรอยเท่านั้น กลุ่มรอยกระสุนปืนอยู่บริเวณใต้ชายโครงซ้ายและหน้าท้องด้านซ้าย แสดงว่ากระสุนปืนทั้ง 5 ลูก ถูกร่างกายของผู้เสียหายบริเวณดังกล่าวแต่ไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำอันตรายทะลุเสื้อและผิวหนังเข้าไปสู่อวัยวะภายในร่างกายผู้เสียหายได้ อาวุธปืนที่จำเลยยิง จึงไม่มีความร้ายแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81 วรรคหนึ่ง
จำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดรุนแรงพอที่จะต้องทำร้ายกัน เมื่อฟังประกอบคำเบิกความของพี่สาวจำเลยที่ว่าจำเลยต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยา 2 เดือนต่อครั้ง หากจำเลยไม่ได้รับประทานยาจะมีอาการคลุ้มคลั่ง การที่จำเลยคาดคิดว่าผู้เสียหายลักรองเท้าจำเลยไปจึงถือเอาเป็นเหตุโกรธแค้น นับว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้แล้วแสดงออกด้วยการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ซึ่งกระทำไปเพราะความเป็นโรคจิตเภทแต่การที่จำเลยเชื่อฟังและมีอาการสงบลงเมื่อมารดาและพี่สาวจำเลยเข้าห้ามปรามแสดงว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างจำเลยจึงต้องรับโทษสำหรับการกระทำความผิดนั้น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91,371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยกลับให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก2 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือนและปรับ 2,000 บาท สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ฐานละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 2 เดือน และปรับ1,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี 5 เดือน และปรับ 2,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด3 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4ครั้ง ใน 1 ปี ให้จำเลยเข้าบำบัดรักษาอาการทางจิตโดยให้พนักงานคุมประพฤติดูแลอย่างใกล้ชิด หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแล้วจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 10 ปี 5 เดือน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษและไม่คุมความประพฤติจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยได้พาอาวุธปืนติดตัวไปในที่เกิดเหตุและผู้เสียหายถูกยิงได้รับอันตราย มีบาดแผลขนาดลึก 0.2 เซนติเมตร ยาว 0.5 เซนติเมตร ที่นิ้วชี้ซ้ายที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้องนั้น สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยลดโทษให้ฐานละกึ่งหนึ่งแล้ว ในความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือนและปรับ1,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 2 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และคุมความประพฤติจำเลย โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวนี้ คดีสำหรับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวเป็นจำคุก 5 เดือน โดยไม่ปรับไม่รอการลงโทษ และไม่คุมความประพฤติจำเลยนั้นเป็นการพิพากษาเกินไปจากคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ และเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง

คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ โจทก์มีนายเพิ่ม ประชิดครบุรี ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ในวันที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้เสียหายกำลังเลี้ยงโคอยู่ในทุ่งนา ผู้เสียหายได้ยินเสียงนางสังวาลย์หรือวานมารดาของจำเลยร้องตะโกนบอกให้ผู้เสียหายหลบหนีเพราะจำเลยจะมาฆ่าผู้เสียหาย ผู้เสียหายลุกขึ้นยืนเห็นจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งเข้ามา ผู้เสียหายจึงวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามจนอยู่ห่างกันประมาณ 7 วา จำเลยยิงปืน 1 นัด กระสุนปืนถูกนิ้วชี้ข้างซ้ายและเสื้อของผู้เสียหายที่สวมอยู่ผู้เสียหายล้มลงแล้วลุกขึ้นวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ จำเลยพูดว่า “ไอ้ห่านี่ฆ่าซะเถอะ” นางสังวาลย์หรือวานและนางวนพี่สาวของจำเลยเข้ามาห้ามปรามและพาตัวจำเลยกลับไปเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยมานานประมาณ 40 ปี เป็นคนในละแวกบ้านเดียวกัน ทั้งก่อนถูกยิงนางสังวาลย์หรือวานมารดาของจำเลยเองได้ร้องบอกผู้เสียหายให้วิ่งหนี ผู้เสียหายก็ลุกขึ้นมองดูเห็นจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งมาผู้เสียหายจึงวิ่งหนีเมื่อจำเลยยิงปืนแล้วผู้เสียหายเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ จำเลยหยุดยืนพร้อมกับพูดว่า “ไอ้ห่านี่ฆ่าซะเถอะ” ระยะเวลาตั้งแต่ผู้เสียหายเห็นจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งเข้ามาผู้เสียหายไปหลบอยู่หลังต้นไม้ จนกระทั่งนางสังวาลย์หรือวานและนางวนมาห้ามจำเลยและดึงตัวจำเลยกลับไปเป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายมีโอกาสมองเห็นจำเลยได้ชัดเจนว่าจำเลยทำอะไรบ้าง เชื่อว่าผู้เสียหายมองเห็นจำเลยและการกระทำของจำเลยได้อย่างชัดเจน ทั้งคำเบิกความมีเหตุผลน่าเชื่อถือมีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจริง แต่เมื่อพิเคราะห์ดูบาดแผลของผู้เสียหายมีนิ้วชี้ซ้ายแผลยาว 0.5 เซนติเมตร ลึก 0.2 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 5 วัน และเมื่อคำนึงถึงระยะทางที่จำเลยกับผู้เสียหายอยู่ห่างกันประมาณ 7 วา ในขณะยิงปืน อาวุธปืนลูกซองยาวขนาด 12 โดยปกติแล้วมีความรุนแรงมากทั้งกระสุนปืนกระจายออกเป็นวง โอกาสที่จะยิงพลาดเป้าหมายในระยะห่างเพียง 7 วา แทบไม่มีเลยทั้งเมื่อพิจารณาเสื้อของผู้เสียหายซึ่งสวมในขณะถูกยิง ปรากฏว่ามีรอยกระสุนปืนจำนวน5 แห่งตามภาพถ่ายหมาย จ.3 รอยกระสุนทั้ง 5 แห่งเป็นกลุ่มแต่ละรอยห่างกันประมาณ 1 ถึง 2 นิ้ว ไม่มีรอยใดเป็นรูทะลุเสื้อ เพียงปรากฏเป็นรอยเท่านั้นกลุ่มรอยกระสุนปืนอยู่บริเวณใต้ชายโครงซ้ายและหน้าท้องด้านซ้าย แสดงให้เห็นว่า กระสุนปืนทั้ง 5 ลูกถูกร่างกายผู้เสียหายในบริเวณดังกล่าว แต่กระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำอันตรายทะลุเสื้อและผิวหนังเข้าไปสู่อวัยวะภายในของร่างกายผู้เสียหายเช่นนี้ อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายจึงไม่มีความร้ายแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์สภาพของจำเลยซึ่งป่วยเป็นโรคจิตเภทตั้งแต่ปี 2523 ต้องไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาเป็นประจำตลอดมาจนกระทั่งเกิดเหตุตามสำเนาใบตรวจรักษาผู้ป่วยภายนอก เอกสารหมาย ล.1 นายแพทย์มงคล ศิริเทพทวี แพทย์ประจำโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมา ซึ่งเป็นเจ้าของไข้จำเลยเบิกความว่าจำเลยเป็นโรคจิตเภทเคยนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 ครั้ง จำเลยมีความผิดปกติด้านความผิด การรับรู้สำหรับอาการป่วยของจำเลยจะต้องรับประทานยาตลอดชีวิต หากไม่รับประทานยาตามกำหนดจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และมีนางญวน สินธุวงษานนท์ พี่สาวของจำเลยเบิกความว่า จำเลยต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยา 2 เดือนต่อครั้ง หากจำเลยไม่ได้รับประทานยาจำเลยจะมีอาการคลุ้มคลั่ง ในวันที่เกิดเหตุ จำเลยไม่ได้รับประทานยาเพราะยาได้หายไป เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดอันเป็นเรื่องรุนแรงพอที่จะทำให้ต้องทำร้ายกัน การที่จำเลยเพียงแต่คาดคิดว่าผู้เสียหายลักรองเท้าของจำเลยไป แล้วจำเลยถือเอาเป็นเหตุให้โกรธแค้นจนถึงกับใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ จำเลยและนางญวนได้เบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยไม่ได้รับประทานยาเพราะยาสูญหาย จึงน่าเชื่อว่า การที่จำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้แล้วแสดงออกด้วยการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย เพราะจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายลักรองเท้าของตนนั้น เป็นการกระทำไปเพราะความเป็นโรคจิตเภท แต่การที่จำเลยมีอาการสงบลงเมื่อนางสังวาลย์หรือวานผู้เป็นมารดาและนางวนผู้เป็นพี่สาวเข้ามาห้ามปรามและดึงตัวจำเลยกลับไป แล้วจำเลยก็ยอมเชื่อฟังแล้วเดินกลับไปพร้อมกับนางสังวาลย์หรือวานนั้น แสดงว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง จำเลยจึงต้องรับโทษสำหรับการกระทำความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง และมาตรา 65 วรรคสอง ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปีพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี ให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้งภายในระยะเวลา 2 ปี ให้จำเลยไปรับการรักษาความบกพร่องทางจิต ณ โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share