คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น ย่อมหมายถึงความเสียหายที่ย่อมเกิดขึ้น แต่การเลิกสัญญาหรือการไม่ชำระหนี้ การขาดประโยชน์ที่ตนควรมีควรได้ หากมิได้มีการเลิกสัญญาย่อมเป็นความเสียหายอันหนึ่ง
การจ้างทำของนั้น สินจ้างมิได้จำกัดว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ให้ตอบแทนพอดีเฉพาะแต่ทุนและค่าแรงงานเสมอไป สินจ้างอาจรวมถึงผลประโยชน์ที่นอกเหนือไปจากทุนและแรงงานที่เรียกกันว่ากำไรนั้นก็ได้
ผู้ว่าจ้างเลิกสัญญาจ้างทำของ โดยผู้รับจ้างมิได้ทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้ผู้รับจ้างขาดกำไรที่ควรจะได้ ถ้าไม่มีการเลิกสัญญาไปเท่าใด ผู้ว่าจ้างต้องรับสนองชดใช้ให้เป็น ค่าสินไหมทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ซ่อมรถจักรยาน 15 คัน แต่ส่งรถมาให้ซ่อมเพียง 9 คัน ชำระค่าซ่อมแล้ว 8 คัน อีกคันหนึ่งค่าซ่อม 455 บาท ยังไม่ชำระ และไม่ส่งรถอีก 6 คัน มาให้โจทก์จัดการซ่อมตามสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์อันจะพึงได้เป็นเงิน 454 บาท จึงขอให้จำเลยใช้เงินทั้งสองจำนวน

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว เพราะโจทก์ขาดความชำนาญ และทุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย และโจทก์ไม่เสียหาย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินเฉพาะค่าซ่อมรถที่ยังไม่ได้รับ 1 คัน เป็นเงิน 455 บาท

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่การเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 605 นั้น ย่อมหมายถึงความเสียหาย ที่ย่อมเกิดขึ้นแก่การเลิกสัญญาหรือการไม่ชำระหนี้ การขาดประโยชน์ที่ตนควรมีควรได้หากมิได้มีการเลิกสัญญา ย่อมเป็นความเสียหายอันหนึ่ง คดีนี้โจทก์พิสูจน์ได้ว่า ถ้าจำเลยไม่เลิกสัญญาเสียโดยพลการและนำรถอีก 6 คันไปซ่อมแล้วโจทก์จะได้กำไรในการซ่อมรวม 450 บาท ดังนี้ถือได้ว่าเป็นความเสียหายโดยตรงของโจทก์ อันเกิดแก่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างทำของนั้น จำเลยจึงต้องรับผิด จึงพิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share