แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในทางนิติกรรมนั้น จะต้องแสดงให้ปรากฏสิทธิในทางทะเบียนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่มีชื่อในบัญชีสำรวจเสียภาษีที่ดินของกำนัน หาเป็นการจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์อย่างใดไม่
ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีสิทธิอันใดในที่ดินนั้น โรงเรือนที่ปลูกขึ้นย่อมตกเป็นส่วนควบของที่ดินนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องอ้างว่า เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือนโดยโจทก์เป็นผู้ปลูกขึ้น จำเลยมาขออาศัยอยู่โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่าเรือนที่ฟ้องเป็นของบิดาร่วมกับจำเลย โดยนางฟุ้งจำเลยเป็นผู้ออกเงินปลูกสร้าง โจทก์เป็นแต่ผู้อาศัย ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินและเรือนยังเป็นของนายผ่องบิดาโจทก์จำเลยอยู่ สำหรับเรือนพิพาทซึ่งปลูกขึ้นใหม่แทนเรือนเดิมในที่ดินนั้นก็ย่อมตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกเรือนนั้น นายผอมเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในบรรดาส่วนควบทั้งหลายของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 ฉะนั้นใครจะเป็นคนออกเงินปลูกเรือนพิพาทจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับคดี จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง