คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า “ฯลฯ จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งธนบัตรโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และได้ใช้ธนบัตรปลอมรายนี้ชำระหนี้ให้แก่ ว. เจ้าพนักงานจับธนบัตรชนิดใบละยี่สิบบาท 1 ฉบับซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้ให้แก่ ว.ดังกล่าวแล้ว ขอให้ลงโทษ” เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจมีไว้ในครอบครองซึ่งธนบัตรโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และได้ใช้ธนบัตรปลอมนั้นชำระหนี้แก่ ว. เจ้าพนักงานจับธนบัตรชนิดใบละยี่สิบบาท 1 ฉบับซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้แก่ ว. ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 203, 204 แก้ไขเพิ่มเติม 2475 มาตรา 6, 7

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ธนบัตรปลอมที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยใช้นั้น โจทก์มิได้กล่าวให้ได้ความว่าปลอมเป็นเงินตราตามกฎหมาย จำเลยจะมีความผิดฐานจำหน่ายหรือใช้ธนบัตรที่รู้ว่าปลอม ก็แต่ที่ปลอมเป็นเงินตราที่ทำขึ้นเพื่อสาธารณชนใช้โดยรัฐบาล ธนบัตรที่ได้ออกใช้ตามมาตรา 209(1) เท่านั้น ฟ้องโจทก์กล่าวลอย ๆ แต่ว่าธนบัตรปลอม เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จึงพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์แล้ว ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ทำการพิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์มีความบรรยายว่า เจ้าพนักงานจับธนบัตรชนิดใบละยี่สิบบาทซึ่งจำเลยนำไปใช้ชำระหนี้ให้แก่ ว.ขยายความให้เข้าใช้ข้อหาได้ว่า ธนบัตรที่จำเลยมีไว้และได้ใช้ชำระหนี้ให้แก่ ว. นั้น เป็นสิ่งปลอมขึ้นใช้อย่างเงินตราซึ่งรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกให้สาธารณชนใช้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 202 จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share