คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลอาญา ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งคืนฟ้องให้ไปยื่นต่อศาลที่ความผิดเกิดขึ้นและจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลอาญาให้รับคำฟ้องไว้เพื่อมีคำสั่งในเรื่องไต่สวนมูลฟ้องต่อไป ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องหมายเรียกจำเลยมาศาล และจะสอบถามคำให้การตามวันนัดได้กำหนดให้โจทก์นำส่งหมายเรียก ถ้าส่งไม่ได้ให้ปิดหมาย และได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสำนวน ดังนี้ ย่อมถือว่าศาลอาญาได้รับพิจารณาคดีนั้นแล้ว จะกลับมาอ้างภายหลังว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขานครราชสีมา 4 ฉบับให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ โจทก์ได้นำเช็คฉบับที่ 1, 3, 4 ไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาถนนเสือป่า ตามกำหนดเพื่อเรียกเก็บ แต่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขานครราชสีมา ปฏิเสธการจ่ายเงิน ส่วนเช็คฉบับที่ 2 นั้นโจทก์ได้สลักหลังให้แก่ผู้มีชื่อเพื่อชำระหนี้ ครั้นถึงกำหนดผู้มีชื่อได้นำไปเข้าบัญชีที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด แต่ปรากฏว่าธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขานครราชสีมา ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นเดียวกันโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังเช็คจึงได้มอบเงินตามเช็คให้ไปและรับเช็คฉบับนั้นคืน โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับนี้โดยชอบ โจทก์ทวงถามจำเลยหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย ทั้งนี้โดยจำเลยออกเช็คเพื่อเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น และออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น เหตุเกิดที่ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครและที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขานครราชสีมา ถนนจอมพล อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ความผิดเกิดขึ้นในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา ทั้งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัด นครราชสีมา จึงมีคำสั่งคืนฟ้องให้โจทก์ไปยื่นต่อศาลที่ความผิดเกิดขึ้น และจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจต่อไป

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลอาญา ให้ศาลอาญารับคำฟ้องไว้เพื่อมีคำสั่งในเรื่องไต่สวนมูลฟ้องต่อไป

ศาลอาญามีคำสั่งว่าคดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยให้การว่าได้ออกเช็คทั้ง 4 ฉบับให้โจทก์จริง แต่ออกให้ที่จังหวัดนครราชสีมาเพื่อชำระค่าสินค้า ไม่มีเจตนาหลอกลวงและไม่มีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค

ศาลอาญาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คทั้ง 4 ฉบับที่จังหวัดนครราชสีมา ธนาคารซึ่งปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา การกระทำผิดที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมาแห่งเดียวคดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนครราชสีมา โจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งความผิดได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจจึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลอาญา ให้ศาลอาญาพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้วเห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(3) บัญญัติว่า ศาลอาญาก็มีเขตตลอดจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี แต่บรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีนั้น จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาก็ได้ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลอาญาที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดในคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ คดีนี้ปรากฏว่าชั้นแรกศาลอาญาได้สั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว และต่อมาศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เวลา 13.30 นาฬิกา ให้ประทับฟ้องคดีนี้ หมายเรียกจำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและศาลอาญาจะสอบถามคำให้การจำเลยในวันนั้นด้วย และได้กำหนดให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ก็ให้ปิดหมายและต่อมาศาลอาญาก็ได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสำนวน ดังนี้ย่อมถือว่าศาลอาญาได้รับพิจารณาคดีนั้นแล้ว จะกลับมาอ้างภายหลังว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจหาได้ไม่เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 595/2509 คดีระหว่าง นางกิมซิ้น ปราบนคร โจทก์ นางสาวอารี หรือแต๋ว ปราบนคร จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลอาญาให้ศาลอาญาพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีต่อไปนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share