แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนศาลมีคำพิพากษาในวันที่ 23 สิงหาคม 2543 แต่จำเลยกระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 เป็นการกระทำความผิดก่อนต้องโทษและพ้นโทษปรับในคดีก่อน จึงไม่อาจวางโทษทวีคูณของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดคดีนี้ได้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 73 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวางโทษทวีคูณจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม งานสิ่งบันทึกเสียง และงานโสตทัศนวัสดุ ของบริษัทแกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายที่ 1 และบริษัทอาร์. เอส. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่จดทะเบียนและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยตลอดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ โดยการนำเอาแผ่นซีดี วีซีดี และวิดีโอซีดี มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสอง จำนวน 70 แผ่น ออกขาย และประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายแผ่นวีซีดีและวิดีโอซีดี โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน เป็นของกลางก่อนคดีนี้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 23สิงหาคม 2543 จำเลยได้รับโทษปรับและพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกำหนดห้าปีนับแต่วันพ้นโทษและภายในเวลาที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรอการลงโทษจำคุกไว้ จำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 28, 31, 70, 73, 75, 76พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 91 ให้ระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้ และบวกโทษที่รอการลงโทษในคดีหมายเลขดำที่ อ.1254/2543 หมายเลขแดงที่ อ.1240/2543 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเข้ากับโทษในคดีนี้ให้ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31(1), 70 วรรคสองพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง,34 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31(1), 70 วรรคสองให้วางโทษทวีคูณ ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 300,000 บาท กระทงหนึ่ง ความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง,34 ให้ปรับ 20,000 บาท กระทงหนึ่ง รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 320,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 160,000 บาท เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ จ่ายค่าปรับเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แก่เจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 มาตรา 76 ศาลไม่ลงโทษจำคุกจึงไม่บวกโทษให้
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนคดีนี้จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ในความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1254/2543 หมายเลขแดงที่ อ.1240/2543 เมื่อวันที่ 23สิงหาคม 2543 จำเลยได้รับโทษปรับและพ้นโทษแล้ว แต่ยังไม่ครบกำหนด 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกระทำความผิดคดีนี้ ซึ่งเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลมีคำพิพากษาในวันที่ 23 สิงหาคม 2543 ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดคดีนี้ก่อนต้องโทษและพ้นโทษปรับในคดีก่อนจึงไม่อาจวางโทษทวีคูณของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดคดีนี้ได้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 73 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวางโทษทวีคูณจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ เมื่อวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าเมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้แล้วจะวางโทษทวีคูณจำเลยได้หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษนั้น เห็นวา จำเลยรับของกลางที่มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 อยู่ก่อนแล้ว มาขายหรือเสนอขายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ขั้นรอง ประกอบกับสถานประกอบกิจการของจำเลยเป็นเพียงแผงลอยเล็ก ๆ และของกลางมีจำนวนไม่มาก ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยมานั้นหนักเกินไปยังไม่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี จึงสมควรแก้ไขโทษให้เบาลง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า มีการยึดทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง และคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้ขอให้ริบทรัพย์สินดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้ริบสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดด้วย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท ความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 ลงโทษปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 3 เดือน และปรับ60,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก1 เดือน 15 วัน และปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้ยกคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้ริบสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง