แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญาโดยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยถูกจำคุกอยู่ในคดีอื่นของศาลนั้นแต่ได้หลบหนีไปจากเรือนจำเสียแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อโจทก์ไม่มีตัวจำเลยอยู่ในขณะที่ยื่นฟ้องและจำเลยมิได้ถูกศาลสั่งขังไว้ในคดีนี้ทั้งข้อเท็จจริงก็ต่างกับคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1735/2514 ศาลย่อมไม่รับประทับฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันลักทรัพย์สิ่งของตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ขอให้ศาลเบิกตัวจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งถูกจำคุกตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 919/2517 ของศาลจังหวัดสุรินทร์มาพิจารณา แต่นายนิดหรือสำเริง หรือยังสีหนาด จำเลยที่ 2 ได้หลบหนีไปจากเรือนจำจังหวัดสุรินทร์ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีตัวขณะยื่นฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 หลบหนีในขณะถูกจำคุกในคดีอื่น จึงไม่รับประทับฟ้องคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
โจทก์ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 2 จะหลบหนีไป แต่ก็ยังอยู่ในอำนาจของศาลที่จะออกหมายจับจำเลยมาได้ ถือได้ว่ายังมีตัวจำเลยอยู่นั้นศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 2 หลบหนี โจทก์จึงไม่มีตัวจำเลยอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ และจำเลยที่ 2 มิได้ถูกศาลสั่งขังไว้ในคดีนี้ด้วย คำพิพากษาฎีกาที่ 1735/2514 ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้น ข้อเท็จจริงต่างกับข้อเท็จจริงคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองไม่รับประทับฟ้องจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน