แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989 ให้นำมาตรา 910 ในเรื่องตั๋วเงินมาใช้บังคับในเรื่องเช็คด้วยซึ่งมาตรา 910 วรรคห้าบัญญัติว่า ถ้ามิได้ลงวันออกตั๋วผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ และตามวรรคหนึ่งบัญญัติว่า ตราสารที่มีรายการขาดตกบกพร่องในเรื่องเช่นนี้ เป็นข้อยกเว้นไม่ถือว่าเป็นตั๋วเงินที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเพียงเพราะเหตุที่เช็คไม่ได้ลงวันที่ไว้จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นโมฆะและการที่จำเลยเอาเงินโจทก์ไปแล้วเขียนเช็คพิพาทที่ยังไม่ได้ลงวันที่มอบให้โจทก์ไว้ ย่อมเป็นการแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่เอาตามที่โจทก์จะเห็นสมควรเพื่อเรียกเงินตามเช็คเอามาชำระหนี้โจทก์นั่นเอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สุจริตอย่างใด เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
อายุความตามมาตรา 1002 ซึ่งให้นับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนดนั้น สำหรับในกรณีเรื่องเช็คก็คือวันที่ลงในเช็คนั่นเองการที่จำเลยจะเอารถยนต์ตีราคาใช้หนี้โจทก์ได้นั้นก็ต่อเมื่อโจทก์ยอมรับเอารถยนต์นั้นเป็นการชำระหนี้แทนเงินและการที่หนี้จะระงับไปด้วยการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทนเงินเช่นนี้ ย่อมจะต้องคิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ที่ส่งมอบ จะถือเอาราคาที่ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 23,000 บาทเพื่อชำระหนี้ แต่เช็คดังกล่าวธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับตามฟ้องให้โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้เงินยืมโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย จึงไม่สมบูรณ์ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ และหนี้ตามเช็คฉบับ 20,000 บาท หักกลบลบหนี้กันไปแล้วโดยโจทก์ได้ยึดรถยนต์ของภรรยาจำเลยไป ส่วนฉบับ 3,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 23,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ทั้งนี้ให้หักค่าขายรถยนต์ 9,500 บาท ซึ่งโจทก์ขายได้เงินเอามาชำระหนี้ออกเสียก่อนจากหนี้ตามเช็คและดอกเบี้ยดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยชำระเงินตามเช็คฉบับ 3,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย คงให้จำเลยชำระเงินตามเช็คฉบับ 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2515 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2515 แล้วหักค่ารถยนต์ 10,000 บาทออกเหลือเท่าใดจำเลยชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2515 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คฉบับ 20,000 บาท หมาย จ.2 เท่านั้น ซึ่งจำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่า เช็คฉบับนี้เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2514 โดยโจทก์ได้ลงวันที่สั่งจ่ายเอาเองเป็นวันที่ 9 มีนาคม 2515 เช็คฉบับนี้จึงเป็นโมฆะ ตามมาตรา 988 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เกี่ยวกับปัญหาข้อนี้โจทก์นำสืบว่าจำเลยเอาเช็คหมาย จ.2 ซึ่งจำเลยลงวันที่ 9 มีนาคม 2515 ไว้แล้วมาให้โจทก์ไว้ แล้วเอาเงินสดจากโจทก์ไปเมื่อราววันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2515 วันใดที่จำเลยเอาเช็คหมาย จ.2 มาให้โจทก์ไว้นี้ยังนำสืบโต้แย้งกันอยู่ แต่อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หากจะรับฟังตามข้อโต้แย้งจำเลยได้ก็ตาม เช็คหมาย จ.2 ก็หาเป็นโมฆะไปดังที่จำเลยเข้าใจไม่ เพราะตามมาตรา 989 ให้นำมาตรา 910 มาใช้บังคับในเรื่องเช็คด้วย มาตรา 910 วรรค 5 บัญญัติไว้ว่า “ถ้ามิได้ลงวันออกตั๋ว ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใด ทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้” และตามวรรคหนึ่งได้บัญญัติว่า ตราสารที่มีรายการขาดตกบกพร่องไปในเรื่องเช่นนี้ เป็นข้อยกเว้นไม่ถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเพียงเพราะเหตุที่เช็คหมาย จ.2 ไม่ได้ลงวันที่ไว้เท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นโมฆะดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างมาในฎีกา การที่จำเลยเอาเงินโจทก์ไปแล้วเขียนเช็คที่ยังไม่ได้ลงวันที่มอบให้โจทก์ไว้นั้น ย่อมเป็นการแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่เอาตามที่โจทก์จะเห็นสมควรเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คเอาจากจำเลยมาชำระหนี้โจทก์ได้นั่นเอง จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ไม่สุจริตแต่อย่างใดเลยเช็คหมาย จ.2 จึงเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ฎีกาในปัญหาข้อที่สองว่า เช็คหมาย จ.2 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 แล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำว่า “วันตั๋วเงินถึงกำหนด” ในมาตรา 1002 ก็คือวันที่ที่ลงในเช็คนั่นเอง ในกรณีนี้ก็คือวันที่ 9 มีนาคม 2515 ดังที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2515 ยังไม่พ้นกำหนดหนึ่งปีตามมาตรา 1002 เช็คหมาย จ.2 ที่โจทก์นำมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยจึงยังหาขาดอายุความต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
ประการสุดท้ายจำเลยฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองตีราคารถยนต์ของภรรยาจำเลยหักใช้หนี้เพียง 9,500 บาท และ 10,000 บาท ตามลำดับเป็นการไม่ชอบ ควรตีราคา 20,000 บาท เต็มตามสัญญาเอกสารหมาย ล.1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยจะเอารถยนต์ตีราคาใช้หนี้โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ยอมรับเอารถยนต์นั้นเป็นการชำระหนี้แทนเงิน ในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมรับรถยนต์เป็นการชำระหนี้แทนเงินแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้ยินยอมให้โจทก์เอารถยนต์มาขายเพื่อเอาเงินใช้หนี้ตามสัญญาหมาย ล.1 และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและภรรยาจำเลยทราบแล้วว่ามีผู้เสนอขอซื้อในราคา 10,000 บาท ถ้าไม่ยินยอมให้ขายในราคานี้ก็ให้หาผู้ซื้อในราคาที่สูงกว่ามารับซื้อไปจำเลยได้รับทราบแล้วก็ไม่ได้โต้แย้งอย่างไร แสดงว่าเห็นชอบด้วยกับราคาที่โจทก์บอกไปเป็นเงิน 10,000 บาทแล้ว ฉะนั้นจำเลยจะมาขอให้ตีราคารถยนต์ 20,000 บาทตามที่ระบุไว้ในสัญญาหมาย ล.1 อีกย่อมไม่ได้ แม้ในสัญญาหมาย ล.1 ก็ยังเขียนไว้ด้วยว่ายินยอมให้หักค่าสึกหรอเป็นรายเดือน ๆ ละห้าเปอร์เซนต์ได้ด้วย ราคา 20,000 บาท จึงไม่ใช่ราคาที่แน่นอนตายตัว อนึ่ง การที่หนี้จะระงับไปด้วยการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทนเงินนั้น ย่อมจะต้องคิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ จะถือเอาราคาที่ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน