แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อเครื่องไฟฟ้าโดยประสงค์เพื่อจะใช้ในกิจการของตนเองเป็นเบื้องแรกส่วนการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้อื่นใช้ด้วยนั้น ก็มีแต่เฉพาะผู้เช่าห้องของบิดาจำเลยในบริเวณเดียวกันซึ่งมีเพียง 10 กว่ารายเท่านั้นหาได้จ่ายให้แก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่ ทั้งเก็บค่ากระแสไฟฟ้าเพียงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายโดยมิได้หวังผลกำไรและก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กำไรจากการนี้หากแต่เป็นการช่วยเหลือในระหว่างจำเลยกับผู้เช่าห้องของบิดาจำเลยจึงยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบกิจการค้าขายตามพระราชบัญญัตินี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคโดยตั้งโรงไฟฟ้าจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชน คิดค่ากระแสไฟฟ้าเป็นรายดวง ๆ ละ 15 บาท ต่อเดือน โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐบาลและมิได้รับสัมปทาน ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 มาตรา 4, 5, 8 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2485 มาตรา 3
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ปรับจำเลย 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า รูปคดียังไม่เข้าข่ายที่ว่าจำเลยประกอบกิจการไฟฟ้าขึ้นเพื่อค้าขายตามความมุ่งหมายแห่ง พระราชบัญญัติ ที่โจทก์อ้างจำเลยไม่ควรมีความผิด พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความสำคัญอยู่ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการประกอบกิจการค้าขายโดยตั้งโรงไฟฟ้าตามความหมายใน พระราชบัญญัติที่โจทก์อ้างหรือไม่ จำเลยซื้อเครื่องไฟฟ้ามาโดยประสงค์เพื่อจะใช้ในกิจการของตนเองเป็นเบื้องแรกส่วนการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้อื่นใช้ด้วยนั้น เป็นการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แต่เฉพาะผู้เช่าห้องของบิดาจำเลยในบริเวณเดียวกันซึ่งมีเพียง 10 กว่ารายเท่านั้น หาได้จ่ายให้แก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้ ทั้งเก็บค่ากระแสไฟฟ้าเพียงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายโดยมิได้หวังผลกำไร และก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กำไรจากการนี้ หากแต่เป็นการช่วยเหลือในระหว่างจำเลยกับผู้เช่าห้องของบิดาจำเลย จึงยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบกิจการค้าขายตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขาย ฯลฯ ดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน