แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ประจำสถานีรถไฟนครราชสีมาระหว่างโจทก์กับการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยที่ตกลงว่า โจทก์จะรักษาที่เช่าให้คงอยู่ในสภาพเรียบร้อยและจะรักษาความสะอาดโดยกวดขัน โจทก์จะไม่ปลูกขึ้นใหม่ หรือปลูกสร้างต่อเติมส่วนหนึ่งส่วนใดขึ้นในสถานที่เช่า โจทก์ต้องยอมให้จำเลย หรือพนักงานจำเลยเข้าตรวจสถานที่เช่าได้ทุกเมื่อ จะไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วงมิใช่สัญญาที่ให้สิทธิโจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์ในบริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมาเท่านั้น หากแต่ยังให้สิทธิโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นผู้ครอบครองส่วนที่เป็นบริเวณร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟอีกด้วยโดยถือเป็นสถานที่เช่าตามสัญญาเช่าสิทธิ ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 4 เช่าทรัพย์ ดังนั้น จำเลยจะเข้าปรับปรุงอาคารส่วนที่เป็นร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์มิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ประจำสถานีรถไฟนครราชสีมากับจำเลยที่ 1 ค่าเช่ารวมค่าภาษีโรงเรือนเป็นเงินเดือนละ 112,612.50 บาทกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2535 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 ให้ฝ่ายการช่างโยธาทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ที่โจทก์เช่า อ้างเหตุว่าเพื่อปรับปรุงภายในอาคารร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์จนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2539 โจทก์ไม่สามารถขายอาหารและสิ่งพิมพ์ได้ตามปกติ โจทก์ขาดรายได้ไป 540,000 บาท เมื่อปรับปรุงเสร็จแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้ส่งมอบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์คืนโจทก์ โจทก์ขาดรายได้อีก 480,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 1,020,000 บาท พร้อมค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนหรือรอนสิทธิของโจทก์ตามสัญญาเช่า และให้คืนเงินมัดจำแก่โจทก์เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ให้สิทธิโจทก์เข้าไปขายอาหารและสิ่งพิมพ์ที่สถานีรถไฟนครราชสีมาในเขตพื้นที่ที่จำเลยที่ 1 กำหนดโดยโจทก์มีหน้าที่จ่ายค่าตอบแทนสัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 100 บาท นับแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2539 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2540 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ประจำสถานีรถไฟนครราชสีมากับจำเลยที่ 1 ค่าเช่ารวมค่าภาษีโรงเรือนเดือนละ 112,612.50 บาท มีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปีนับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2535 ตามสัญญาเช่าสิทธิเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งหัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2 โจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์ในบริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมานับแต่วันทำสัญญาติดต่อกันเรื่อยมากระทั่งวันที่ 10 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 1 ปรับปรุงอาคารสถานีรถไฟนครราชสีมาเพื่อรับงานแสดงสินค้า โจทก์ย้ายเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ไปยังบริเวณหน้าร้านขายอาหารเมื่อการปรับปรุงอาคารแล้วเสร็จเคาน์เตอร์ดังกล่าวมีสภาพเป็นห้องประชาสัมพันธ์ตามภาพถ่ายหมาย จ.12 มีปัญหาวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความประกอบภาพถ่ายหมาย จ.2 ถึง จ.6 ว่า วันที่ 10 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ให้ฝ่ายการช่างโยธาของจำเลยที่ 1 เข้าทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ที่โจทก์เช่าอ้างว่าเพื่อปรับปรุงภายในอาคารร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถขายอาหารและสิ่งพิมพ์ได้ตามปกติถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2539 และเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ถูกดัดแปลงเป็นห้องประชาสัมพันธ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถส่งมอบคืนให้แก่โจทก์เพื่อใช้เป็นที่ขายสิ่งพิมพ์ได้ดังเดิม จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำเลยทั้งสองนำสืบโดยจำเลยที่ 2 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ต้องทำตามนโยบายรัฐบาลเพื่อสนับสนุนงานแสดงสินค้าโดยปรับปรุงเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ที่โจทก์เช่าเป็นห้องประชาสัมพันธ์ และให้โจทก์ไปขายสิ่งพิมพ์ที่หน้าร้านขายอาหารซึ่งอยู่ในอาคารเดียวกันห่างออกไปประมาณ 20 เมตร โจทก์ยังคงขายอาหารและสิ่งพิมพ์ได้ดังเดิม และได้ความตามคำเบิกความของนายสมนึก ฤาชา พยานจำเลยทั้งสองว่า บริเวณที่โจทก์เช่าอยู่ติดกับห้องจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าเนื้อที่ประมาณ 2 เมตร ถึง 2 เมตรครึ่ง ลักษณะเป็นเคาน์เตอร์เปิดออกมาแล้ววางสิ่งพิมพ์ที่จะขาย นายสงกรานต์ ไชยมงคล พยานจำเลยทั้งสองอีกปากหนึ่งเบิกความว่าบริษัทที่รับจ้างปรับปรุงเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ก่อนเพื่อทำเป็นห้องประชาสัมพันธ์และโจทก์ได้ย้ายสิ่งพิมพ์ไปขายที่หน้าสถานีรถไฟห่างจากเดิมประมาณ 4 ถึง 5 เมตร คำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสองดังกล่าวรับฟังประกอบหนังสือขอความสะดวกในการปรับปรุงภายในอาคารตามเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีไปถึงโจทก์ที่ปรากฏข้อความผูกมัดจำเลยที่ 1 ว่าร้านขายอาหารอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ทั้งสัญญาเช่าสิทธิตามเอกสารหมาย จ.1 กล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวกับสถานที่เช่าไว้ในข้อ 6 ว่า โจทก์จะรักษาที่เช่าให้คงอยู่ในสภาพเรียบร้อยและจะรักษาความสะอาดโดยกวดขัน… ข้อ 9 โจทก์จะไม่ปลูกขึ้นใหม่ หรือปลูกสร้างต่อเติมส่วนหนึ่งส่วนใดขึ้นในสถานที่เช่า… ข้อ 10 โจทก์ต้องยอมให้จำเลยที่ 1 หรือพนักงานจำเลยที่ 1 เข้าตรวจสถานที่เช่าได้ทุกเมื่อ… ข้อ 12 โจทก์จะไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วงดังนี้เป็นต้น สัญญาเช่าสิทธิตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมิใช่สัญญาที่ให้สิทธิโจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์ในบริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมาตามที่จำเลยที่ 1 กำหนดให้แต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา หากแต่ยังให้สิทธิโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นผู้ครอบครองส่วนที่เป็นบริเวณร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟดังกล่าวอีกด้วย โดยถือเป็นสถานที่เช่าตามสัญญาเช่าสิทธิ ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 4 เช่าทรัพย์ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จะเข้าปรับปรุงอาคารส่วนที่เป็นร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์อันเป็นสถานที่เช่าโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์มิได้ แต่ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์เพียงว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ให้ฝ่ายการช่างโยธาเข้าทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ซึ่งโจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านหรือห้ามปรามการกระทำดังกล่าว ต่อมาโจทก์กลับเป็นฝ่ายร้องขอลดค่าเช่ากับจำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่สามารถทำการค้าได้ตามปกติ หลังจากจำเลยที่ 1 เข้าปรับปรุงอาคารแล้วถึง 1 เดือนเศษ ตามหนังสือขอลดหย่อนค่าเช่าเอกสารหมาย จ.9 พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุอันควรเชื่อว่า โจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบจำเลยที่ 1 จึงไม่ผิดสัญญาในส่วนนี้ แต่เมื่อการปรับปรุงอาคารแล้วเสร็จ เคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ถูกดัดแปลงจนกลายสภาพเป็นห้องประชาสัมพันธ์และจำเลยที่ 1 เข้าครอบครองใช้ประโยชน์สืบต่อมาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจครอบครองใช้ประโยชน์สถานที่เช่าตามสัญญาได้อีกต่อไป จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน