คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1129/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน และคืนเงินมัดจำกันนั้นไม่ใช่เป็นการปลดหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือ ฉะนั้นเพียงแต่มีการแสดงเจตนาต่อกัน ก็ย่อมสมบูรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาขายที่ดินส่วนหนึ่งให้โจทก์รับเงินมัดจำไปบางส่วนแล้ว ต่อมาจำเลยมิได้จัดการแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์เตือนแล้วจำเลยก็เพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำเลยมาตกลงกับโจทก์ และยอมเลิกสัญญารับจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์ แต่แล้วก็ไม่คืนให้

จำเลยให้การว่าทำสัญญาขายที่ดินและรับมัดจำไว้จริง จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างเจ้าพนักงานที่ดินจัดการรังวัดแบ่งแยกอยู่ จำเลยไม่ได้ตกลงเลิกสัญญา และจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยผิดสัญญาและตกลงเลิกสัญญารับจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนได้ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเชื่อว่า เมื่อจำเลยรับเงินมัดจำไปแล้ว ก็หาได้ขอรังวัดแบ่งแยกโฉนด และทำถนนตามที่ตกลงกันไม่ จนเวลาล่วงเลยไปหลายปี เมื่อโจทก์เร่งรัดเข้า และขอเลิกสัญญาเพราะล่วงพ้นกำหนดเวลาอันสมควรแล้ว จำเลยก็มาตกลงเลิกสัญญาและจะคืนมัดจำให้โจทก์จริงการตกลงเลิกสัญญาไม่ใช่เป็นการปลดหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือ ฉะนั้นเพียงแต่มีการแสดงเจตนาต่อกัน ก็สมบูรณ์

พิพากษายืน

Share