คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยขอคืนค่าปรับศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนค่าปรับแก่จำเลย กรณีจึงเป็นเรื่องผู้เสียหายใช้อำนาจฟ้องคดีต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 โดยพนักงานอัยการมิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 ที่จะให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ดังนั้น พนักงานอัยการจึงไม่สามารถเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ และไม่มีสิทธิฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามเช็คฉบับแรก จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด1 ปี ปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 60,000 บาท ความผิดตามเช็คฉบับหลังจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน ปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 20,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด1 ปี 8 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 80,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 จำเลยที่ 2 ได้ชำระค่าปรับและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอคืนค่าปรับที่จำเลยที่ 2 ได้ชำระไว้ต่อศาล โดยอ้างว่าศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้ว คดีเป็นอันเลิกกันจำเลยที่ 2 จึงพ้นผิดไม่ต้องชำระค่าปรับ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำเช่นนี้ได้จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้คืนค่าปรับจำนวน 80,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1

พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยขอคืนค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอคืนค่าปรับของจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้คืนค่าปรับ เช่นนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องผู้เสียหายใช้อำนาจฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 โดยพนักงานอัยการมิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 ที่จะให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ดังนั้น พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี จึงไม่สามารถเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้และไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี

Share